Social Icons

Featured Posts

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ รถ Mini Cooper

หากพูดถึงรถหรูขนาดเล็ก น่ารัก โดนใจวัยรุ่นทั้งหลายแล้วคงหนีไม่พ้น รถยอดนิยมที่ชื่อ mini cooper  ซึ่งมีประวัติความเป็นมาคร่าวๆดังนี้ครับ รถมินิ  คือรถขนาดเล็กที่ผลิตขึ้นโดย บริติชมอเตอร์คอร์ปอเรชัน (บีเอ็มซี) ได้รับการประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 จนกระทั่ง 2000 เป็นรถที่โด่งดังที่สุดที่ผลิตโดยชาวอังกฤษ ต่อมาได้มีการเข้าแทนที่โดยรถนิวมินิ ที่ออกมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 จากบีเอ็มดับบลิว บริษัทแม่ในปัจจุบันของ บีเอ็มซี  ซึ่งรถมินิในแบบดั้งเดิมถือเป็นสัญลักษณ์ในช่วงยุคทศวรรษ 1960 เป็นรถประหยัดพื้นที่ ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้าซึ่งได้รับความนิยมมากในสมัยนั้น และยังมีอิทธิพลต่อการผลิตรถยนต์ในรุ่นต่อมา ในบางครั้งได้รับการพิจารณาว่าเทียบเท่ากับรถเยอรมันอย่าง รถเต่าโฟล์คสวาเกน ที่ได้รับความแพร่หลายในอเมริกาเหนือ ลักษณะเด่นของรถมินิคือมี 2 ประตู ออกแบบโดย เซอร์ อเล็ก อิซซิโกนิส มีการผลิตที่โรงงานในลองบริดจ์และคาวลีย์ ในสหราชอาณาจักร และได้มีการขยายโรงงานออกไปอีกมากมายหลายสาขาเช่น  โรงงานในวิกตอเรียปาร์ก/เซ็ตแลนด์ ของ บริติชมอเตอร์คอโปเรชัน (ออสเตรเลีย) ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย และต่อมาในสเปน (Authi), เบลเยี่ยม, ชิลี, อิตาลี ,โปรตุเกส  เป็นต้น ในส่วนของมินิประเทศไทยนั้นได้มีการเปิดตัวมินิเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ภายใต้รหัส คูเปอร์ ดี และคูเปอร์ เอสดี เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 4 สูบแถวเรียง 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบแปรผันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันได้สูงสุดถึง 19.6 กิโลเมตร / ลิตรสำหรับ คูเปอร์ ดี ในรุ่นแฮ็ทช์แบค 3 ประตู  โดยเครื่องยนต์ดังกล่าวได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีมาจากพื้นฐานของเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 4 สูบ 2.0 ลิตรที่ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบาพร้อมด้วยเทคโนโลยีอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผันที่ให้กำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกช่วงของรอบเครื่องยนต์ ทำให้มีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงเป็นเยี่ยมถึง 19.6 กิโลเมตร / ลิตร และให้แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,250 สำหรับ คูเปอร์ ดี ในรุ่นแฮ็ทช์แบค 3 ประตูและสำหรับ คูเปอร์ เอสดี ในรุ่นแฮ็ทช์แบค 3 ประตูนั้น มีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงอยู่ที่ 18.9 กิโลเมตร / ลิตร และให้แรงบิดสูงสุดถึง 305 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,700 รอบ ทำให้มินิคูเปอร์ เอสดี เป็นรถที่มีพละกำลังเมื่อเทียบกับรถยนต์ในขนาดเดียวกัน  นอกจากนี้ แล้วเครื่องยนต์ดีเซลเจนเนอเรชั่นใหม่ของมินิยังได้รับการปรับปรุงเพื่อลด vibration และลดเสียงจากห้องเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น ทำให้เครื่องเดินเงียบได้เป็นอย่างดี ปราศจากอาการสั่นของเครื่องยนต์ดีเซลแบบทั่วไป  ซึ่งตัวรถมินิในประเทศไทยนั้นถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากดีไซด์ ที่น่ารักเหมาะกับทุกเพศทุกวัย จึงทำให้รถ Mini Cooper นั้น ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในขณะนี้ครับ - See more at: http://www.import-car-thailand.com/#sthash.Aw6NLWLL.dpuf

10 อันดับ รถหรู แพงที่ซู้ด

10 อับดับรถหรูราคาแพง 2013 ราคานี้เป็นราคาซื้อขายกันระหว่างดีลเลอร์กับผู้ขายไม่รวมภาษี ไม่นับรวมกับการประมูลเพราะไม่สามารถตีราคาที่แท้จริงได้

-      รถหรูอันดับที่ 1 ได้แก่ มายบัค เอ็กซ์เซเลโร่ (Maybach Exelero)  โดยมีราคาถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ ประมาณ 240 ล้านบาท เป็นรถหรูจากเยอรมันผลิตคันเดียวเท่านั่น สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่ 350กม./ชม. แม้มีน้ำหนักถึง 2,600 กิโลกรัม
-      รถหรูอันดับที่ 2 ได้แก่ โรลส์-รอยซ์ ไฮเปอเรียน พินินฟารินา (Rolls-Royce Hyperion Pininfarina) ด้วยราคา 7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 210 ล้านบาท ออกแบบโดยสำนักออกแบบพินินฟารินา
-      รถหรูอันดับที่ 3 ได้แก่ โคอีนิกเซ็ก ซีซีเอ็กซ์อาร์ ทรีวิตา (Koenigsegg CCXR Trevita) ด้วยราคา 4.85 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 145.5 ล้านบาท มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 400 กม./ชม. มีอัตราเร่งที่ 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 2.9 วินาที
-      รถหรูอันดับที่ 4 ได้แก่ เฟอร์รารี่ P4/5 พินินฟารินา (Ferrari P4/5 Pininfarina) ด้วยราคาราคา 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 144 ล้านบาท ออกแบบโดยสำนักออกแบบพินินฟารินา ความเร็มสูงสุดอยู่ที่ 375 กม/ชม. อัตราเร่งที่ 0-100 กม/ชม. ในเวลา 3 วินาที
-      รถหรูอันดับที่ 5 ได้แก่ เฟอร์รารี่ เอสพี 12 อีริค แคลปตัน (Ferrari SP12 EC) ราคา 4.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 141 ล้านบาท โดยผลิตเพียงคันเดียวให้แก่ อีริค แคลปตัน มือกีตาร์ชื่อดังของโลก
-      รถหรูอันดับที่ 6 ได้แก่ ลัมบอร์กินี เวเนโน (Lamborghini Veneno) ด้วยราคาราคา 4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 120 ล้านบาท ความเร็วมสูงสุดอยู่ที่ 354 กม/ชม. มีอัตราเร่งตั้งแต่ 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.8 วินาทีเท่านั่น
-      รถหรูอันดับที่ 7 บูกัตติ เวย์รอน 16.4 ซูเปอร์สปอร์ต แซง นอร์ (Bugatti Veyron 16.4 Super Sport Sang Noir) ด้วยราคา 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 102 ล้านบาท เป็นรถที่มีความเร็วสูงสุดที่ทำลายสถิติโลกในปี 2010 ด้วยความเร็ว 434 กม./ชม
-      รถหรูอันดับที่ 8 ได้แก่ ดับบลิว มอเตอร์ ไลแคน ไฮเปอร์สปอร์ต (W Motor Lykan Hypersport) ราคา 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 102 ล้านบาท โดยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 395 กม./ชม. โดยมีอัตรเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.8 วินาที
-      รถหรูอันดับ 9 ได้แก่ เซนโว เอสที 1 (Zenvo ST1) ราคา 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 54 ล้านบาท โดยรถเซนโว เอสที 1ผลิตเพียง 15 คันเท่านั่น ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 375 กม/ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชมภายใน 3 วินาที
-      รถหรูอันดับ 10 ได้แก่ ชัปพัน 962 ซีอาร์ (Schuppan 962CR) ราคา 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 45 ล้านบาท มีความเร็วสูงสุดที่ 370 กม./ชม. และมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ม.ภายใน 3วินาที
- See more at: http://www.import-car-thailand.com/#sthash.Aw6NLWLL.dpuf

รถหรู 5 ประเภทที่แข้งเมืองผู้ดีนิยมใช้

อังกฤษถือเป็นเมืองทางยุโรปที่เป็นตลาดใหญ่ของรถดังหลายรูปแบบนักฟุตบอลมีรายได้มากที่สุดก็ที่นี่
มีเงินก็ต้องใช้ให้คุ้ม ไม่แปลกหลอกครับที่นักเตะดังๆหลายคนของลีกอังกฤษจะมีรถหรูในราคาที่แพงแสนแพง ก็เพราะค่าเหนื่อยของนักเตะแต่ละคนนั้น ถ้าเอามานับรวมกันคงได้ราวๆหนึ่งกองภูเขาใหญ่ การจะซื้อรถหรูๆ สักคันไม่ใช่เรื่องยาก วันนี้เราจะพาทุกท่านมาดู รถหรู 5 ประเภทที่แข้งเมืองผู้ดีนิยมใช้กันครับ
1. Range Rover Sport (เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต) รถหรูประเภทแรกถือได้ว่าเป็นรถที่มี option ครบเครื่องเหมาะสำหรับไว้ไปเที่ยวหรือปิกนิก ซึ่งนักแตะที่ใช้รถประเภทนี้ได้แก่ เวนย์ รูนีย์, ไรอัน กิกส์, จอห์น เทอร์รี
ราคารวม : 5.1 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 140 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 385 แรงม้า
2. Porsche Cayenne (พอร์ช คาเยน) รถหรูประเภทที่สอง รุ่นนี้มีไว้สำหรับนักซิ่งด้วยอัตราเร่งสูงสุด 173 ไมล์ ต่อชั่วโมง ซึ่งนักแตะที่ใช้รถประเภทนี้ได้แก่ สตีเวน เจอร์ราร์ด, โรบิน ฟาน เพอร์ซี, และยายา ตูเร
ราคารวม : 4.5 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 173 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 550 แรงม้า
3. Audi Q7 (ออดี คิว 7) รถหรูประเภทที่สาม เป็นอีกรุ่นที่แข้งผู้ดีชอบใช้ คือ หลุยส์ นานี, เฟร์นานโด ตอร์เรส, และริโอ เฟอร์ดินานด์
ราคารวม : 4.7 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 155 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 500 แรงม้า
4. Aston Martin DB9 (แอสตัน มาร์ติน ดีบี 9) รถหรูประเภทที่สี่ โดยรูปทรงที่ฉูดฉาด หรูหราที่สาวๆต้องเหลียวมอง โดนใจแข้งผู้ดีไปหลายราย เช่น ฆวน มาตา และแฟรงค์ แลมพาร์ด
ราคารวม : 6.4 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 190 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 470 แรงม้า
5. Bentley Continental (เบนท์ลีย์ คอนติเนนตัล) รถหรูประเภทสุดท้าย เป็นรถที่มีผู้คนนิยมใช้กันมากที่สุดในประเทศอังกฤษ โดยถูกใจเหล่านักแตะอย่าง ดาบิด ซิลบา, ซามูเอล เอโต, และวิคเตอร์ โมเซส ด้วยครับ
ราคารวม : 6.6 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 195 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 200 แรงม้า
- See more at: http://www.import-car-thailand.com/#sthash.Aw6NLWLL.dpuf

วิธีเปิดไฟตัดหมอก แบบถูกต้อง

ไฟตัดหมอก   ถือกำเนิดขึ้นมาในแถบประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง หรือแถบที่อากาศ
หนาว หรือประเทศที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยน้ำ   ทำให้มีฝนตกบ่อยตลอดทั้งปี  มีบรรยากาศที่ขมุกขมัวหรือมีหมอกเป็นส่วนมาก หรือมีหมอกมีฝนมากกว่าเวลาที่อากาศปลอดโปร่ง  ดังนั้น  เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยานพาหนะจึงมีการคิดค้นไฟตัดหมอกขึ้นมา 

ไฟ ตัดหมอกจะใช้ไฟที่ให้ความสว่างสูง  ส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตไลท์ ส่องในระนาบขนานกับพื้นถนนหรือตกพื้นในระยะไกล ดังนั้นความสว่างจึงมีมากและไปได้ไกล  เพราะหลอดไฟหน้ามุมจะตกลงพื้นถนน   แต่ไฟตัดหมอกจะส่องขนานไปกับพื้นถนนหรือตัวรถ หลอดไฟหน้าปกติถ้าเปิดส่องในขณะที่หมอกจัดหรือ  ฝนตกหนักเพราะมุมที่เอียงลงจึงทำให้เกิดมุมสะท้อนกลับสู่สายตาของผู้ขับขี่ จึงทำให้แสงที่ส่องผ่านไปมีน้อยหรือมองเห็นแค่ในระยะไม่เกิน 10-15 เมตร  แถมแสบตากับแสงที่สะท้อนกลับ แต่ไฟตัดหมอกที่ส่องแบบขนานพื้นจะไม่สะท้อนมาที่ห้องโดยสารสามารถทะลุทะลวง ได้มาก   และสะท้อนกลับมาก็ในมุมที่ไม่กระทบผู้ขับขี่ ทำให้มองเห็นได้ในระยะมากกว่า 30-80 เมตร ในทำนองเดียวกันเมื่อพื้นถนนเปียกหรือฝนหยุดตกใหม่ๆในตอนกลางคืน    ไฟหน้าปกติที่ส่องลงผิวถนนจะถูกพื้นน้ำสะท้อนออกไปในอีกมุมนึงบางครั้ง เหมือนกับว่าแทบจะมองไม่เห็นผิวถนนด้วยซ้ำไป  แต่ไฟตัดหมอกที่แทบจะไม่ส่องลงพื้นถนนยังสามารถมองเห็นผิวถนนในระยะสายตาได้ อย่างชัดเจน ซึ่งในแถบประเทศเขตเมืองหนาวได้ออกกฏบังคับให้รถทุกคัน  ต้องมีไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์มาตรฐานความจริงไฟตัดหมอกมีมานานแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่เป็นที่นิยมเพราะราคาแพงและไม่มีความจำเป็น  จึงมีให้เห็นเฉพาะกับรถนำเข้าจากเขตเมืองหนาวหรือเขตเมืองที่อยู่สูงกว่า ระดับน้ำทะเลมากๆ เท่านั้น  ต่อมาค่านิยมเริ่มเปลี่ยนไป  เพราะการติดไฟตัดหมอกถือว่าเท่และทันสมัย ประกอบกับบราคาที่ถูกลงจึงมีการหาซื้อมาดัดแปลงติดตั้งเพิ่มเติมกัน  แม้แต่รถที่ผลิตในเมืองไทยก็ยังนิยมติดไฟตัดหมอก

 ปัจจุบันคนไทยนิยม ตกแต่งรถด้วยไฟตัดหมอก และมักเปิดใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ผิดวิธี  ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทางรายอื่นๆ กล่าวคือ  ไฟตัดหมอก  เป็นไฟที่ให้ความสว่างสูง  ส่วนใหญ่หลอดจะเป็สปอตไลท์  จึงสามารถส่องสว่างไปได้ไกล   ซึ่งหากเปิดใช้ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม แสงจากหลอดไฟตัดหมอก จะไปแยงและ    รบกวนสายตาผู้ที่ขับรถสวนทางมา  ทำให้ตาพร่ามัว  จึงมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่าปกติ  ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงขอเสนอแนะให้ผู้ขับรถเปิดใช้ไฟตัดหมอก อย่างปลอดภัยและถูกวิธี โดยให้เปิดใช้ไฟตัดหมอกในกรณีต่างๆ ดังนี้  

1.   ฝนตกปรอยๆ  หรือตกหนัก  ไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์มาก  
แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตามเพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
2.   เมื่อขึ้นภูเขาสูงหรือยอดเขา    เช่นภูเรือ-ดอยสุเทพ เป็นต้น   
โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและ  ตอนกลางคืน   เพราะที่สูงๆนั้นหมอกจะมีมากกว่าปกติ
3.   ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่  ซึ่งไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนะวิสัยในการขับขี่
ดีขึ้น  เพราะไฟหน้าปกติของเราถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว
4.   ทุกกรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนะวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50 เมตร
5.   ปิดไฟตัดหมองทันทีที่มีรถสวนมา ในระยะที่มองเห็นไฟห้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน 
แม้แต่รถที่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติก็จะสั่งปิดไฟตัดหมอกคงไว้เฉพาะไฟปกติเมื่อสัญญานจับได้ว่ามีไฟสะท้อนมาในมุมตรงข้าม

สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่า การใช้ไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธี จะก่อให้เกิดประโยชน์และช่วยเพิ่มความปลอดภัย
ใน การใช้รถใช้ถนน ทำให้สามารถมองเห็นรถคันอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน  ในทางตรงกันข้าม การเปิดไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่มีมารยาท และผิดวิธี นอกจากจะรบกวนสายตาและสร้างความรำคาญให้กับผู้ขับรถรายอื่นๆ  ที่ร่วมใช้เส้นทางแล้ว ยังเพิ่มโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วย   กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงขอให้ท่านเจ้าของรถที่ติดตั้งไฟตัดหมอก เปิดใช้อย่างถูกวิธีและใช้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ตลอดจนต้องมีความเอื้ออาทร ขับรถอย่างมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทาง ก็จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดอุบัติภัยทางท้องถนนได้....

เลือกล้อให้ถูกกับรถ

ถามซ:ล้อแม็กวงโต 16 17 18 นิ้่ว จะติดขอบบัีงโคลนไหม ขนาดเท่าไรสวย จะคดง่ายไหม จะอืดไหม?
        แค่เห็นตัวเลขเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อแม็กใหญ่กว่าเดิมหลายนิ้ว หลายคนก็รีบตั้งคำถามในใจหรืออาจสรุปไปเลยว่า ใส่แล้วต้องติดบังโคลน ต้องคดง่าย อัตราเร่งจะอืด ทั้งที่ยังไม่ได้ดูขนาดยางและรายละเอียดอื่นเลย
       หนึ่งในการตกแต่งรถยนต์ขั้นพื้นฐาน ราคาไม่แพงนัก มีให้เลือกซื้อสารพัดยี่ห้อ สวยแปลกตาขึ้นฉับพลันในชั่วโมงเดียว แต่ก็มีคำถามค้างคาใจว่า
       ขนาด 16 17 18 นิ้ว ใส่เข้าไปแล้วจะติดบังโคลนไหม ?
       ขนาดเท่าไรสวย ลังเล ใหญ่เกินไปก็กลัวผลกระ ทบที่ตามมา เล็กไปก็กลัวไม่สวย ?
       จะคดง่ายไหม เลือกวงเล็กไว้ก่อนดีไหม จะได้คดยาก ?
       ล้อแม็กวงโตจะทำให้อัตราเร่งอืดไหม ?
       สารพัดความกลัว ที่เกิดขึ้นเพราะไม่มองให้ลึกแล้วรีบสรุป
     
       สวย หรือดีด้านประสิทธิภาพด้วย
       การเปลี่ยนล้อแม็กวงโต เส้นผ่าศูนย์กลางมากขึ้น ถูกเปลี่ยนพร้อมยางแก้มเตี้ยลงและกว้างขึ้น เพื่อรักษาเส้นรอบวงให้ใกล้เคียงยางมาตรฐานเดิม และรับกับความกว้างของล้อแม็กที่เพิ่มขึ้น
       ความต้องการหลักอยู่ที่การเพิ่มความสวยงาม ส่วนอื่นเป็นเรื่องรองลงไป เช่น ประสิทธิภาพการทรงตัวและการเกาะถนนที่เพิ่มขึ้น จากความกว้างของยางที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้หน้ายางที่สัมผัสพื้นกว้างขึ้นตามไปด้วย แก้ม ยางที่เตี้ยลงก็โย้ตัวยากขึ้น ไม่เซ และลดการยกตัวของหน้ายาง
       แม้ประสิทธิภาพการเกาะถนนจะเพิ่มขึ้นจริง แต่ก็นับเป็นผลพลอยได้ที่มีโอกาสได้ใช้น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ขับเร็วและเข้าโค้งดุเดือดเท่าไรนัก
     
       กี่นิ้วดี ? อย่าลืมยาง !
       การเลือกขนาดล้อแม็ก ประเด็นสำคัญอยู่ที่เส้นผ่าศูนย์กลาง เช่น 15, 16, 17 หรือ 18 นิ้ว ส่วนความกว้าง 6, 7, 7.5 หรือ 8 นิ้วเป็นเรื่องรองลงไป เช่นเดียวกับระยะ ออฟเซต (ระยะยื่น) ที่ยังมีหลายคนไม่เข้าใจ ส่วนใหญ่จึงพิจารณาแต่ตัวเลขเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 16 17 18 นิ้ว แต่ก็ยังเกิดปัญหากับตัวเลขของล้อแม็ก เห็นตัวเลขมากแล้วกลัวติดบังโคลน กลัวคดง่าย กลัวอืด กลัวแพง ทั้งที่รถยนต์ไม่ได้แล่นบนล้อเหล็กไม่มียางแบบรถไฟ แต่ต้องมียางหุ้มล้ออีกชั้น ดังนั้นอย่าลืม...ยาง
       ไม่ควรรีบสรุปขนาดโดยรวมด้วยตัวเลข 15 16 17 18 นิ้ว เพราะต้องขึ้นอยู่กับขนาดยางด้วย
       สมมุติล้อเดิมขนาด 15 นิ้ว ใส่กับยางแก้มสูง หาก เปลี่ยนมาใส่ขอบ 17 นิ้ว ตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 2 นิ้ว ดูแล้วน่าตื่นเต้น แต่ถ้าประกบด้วยยางแก้มเตี้ยบางเฉียบ เส้นรอบวงโดยรวมของล้อ 17 นิ้ว อาจเตี้ยกว่ายางขอบ 15 นิ้ว ชุดเดิมก็เป็นได้ ส่วนความกว้างและออฟเซตค่อยว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
       ดังนั้นอย่าตื่นเต้นว่าจะต้องเกิดปัญหา เมื่อเปลี่ยน ล้อแม็กขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายนิ้ว เพราะยังต้องเกี่ยว ข้องกับขนาดยาง ความกว้างของล้อและระยะออฟเซตด้วย
       เลือกกี่นิ้วดี ?
       ในเมื่อจุดประสงค์หลักของการเปลี่ยนล้อแม็กวงโต อยู่ที่ความสวยงามเป็นหลัก ตามหลักการแล้ว ยิ่งล้อแม็กขนาดใหญ่ขึ้นเท่าไรก็ยิ่งสวย
       +1 นิ้วจากเดิม เช่น จาก 15 เป็น 16 นิ้ว เสียเงินเปล่า แทบไม่สวยขึ้น ดูครึ่งๆ กลางๆ
       +2 นิ้วจากเดิม เช่น จาก 15 เป็น 17 นิ้ว ถือเป็นมาตรฐานที่น่าจะสวยขึ้น ถ้าเลือกลายและขนาดยางที่พอเหมาะ ราคาพอรับได้ รวมๆ แล้วไม่แพงจาก +1 นิ้วสักเท่า ไร แต่สวยกว่า +1 นิ้วพอสมควร
       +3 นิ้วจากเดิม (หรือกว่านั้น) เช่น จาก 14 เป็น 17 นิ้ว สวยเหลือเฟือแน่ๆ แต่เลือกยาก ถ้าจะไม่ให้ติดขัดกับชิ้นส่วนอื่น และราคาแพงทั้งล้อแม็กและยาง
       ปัจจุบันนี้มีสูตร +2 +3 +4 นิ้ว เช่น จากเดิม 15 นิ้ว ขยับเป็น 17 18 หรือพยายามใส่ 19 นิ้วก็ยังมี จึงเป็นบท สรุปตายตัวด้านความสวยว่า ยิ่งใส่ล้อแม็กวงโตเข้าไปโดยไม่เกิดปัญหาและมีเงินจ่ายก็ยิ่งสวย
       คนในเมืองนอกเล่นกันดุเดือดขนาด +2 +3 นิ้วกันเพียบ แต่คนไทยหลายคนยังลังเลว่าจะเพิ่มขนาดแบบ +1 หรือ +2 นิ้วดี บอกได้ว่าถ้าเน้นความสวยให้ลืมสูตร +1 นิ้วไปได้เลย เพราะด้านความสวยแทบจะเสียเงินฟรี ! อย่างน้อยให้เริ่มจาก +2 นิ้ว และถ้ามีเงินจ่ายและอยากสวยสุดๆ ต้องเลือก +3 นิ้วจากเดิม
       ระยะออฟเซต
       มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร คือระยะยื่นหรือหุบของล้อ แม็ก มีผลต่อการกระแทกกับบังโคลนกับยาง ตัวเลขยิ่งน้อยหรือติดลบ เมื่อใส่ล้อเข้าไปกับดุมจะยิ่งยื่นออกมาด้านนอก
       เลือกล้อแม็กที่มีระยะออฟเซตใกล้เคียงกับล้อเดิมจากโรงงาน ดูตัวเลขได้แถวๆ ตัวย่อ ET หรือถ้าใช้วิธีตามภาคปฏิบัติก็ให้ใส่ล้อและยางเข้ากับรถยนต์ ขยับรถยนต์สัก 5-10 เมตร เพื่อให้ช่วงล่างทำงานและยุบตัวมาอยู่ในระยะปกติ จอดแล้วหาคนนั่งด้านหลัง 2-3 คนและให้ขย่มแรงๆ สังเกตว่ายางต้องซุกเข้าไปหลังขอบบังโคลนได้ ห่างจากบังโคลนแบบเฉี่ยวๆ 0.5-2 เซนติเมตร และยางต้องไม่หุบเข้าไปด้านในบังโคลนมากเกินไป เพราะจะดูไม่เต็มและไม่สวย
       ขนาดยาง ต้องคำนวณหรือยกเทียบ
       เน้นที่เส้นรอบวงภายนอกของยาง ต้องใกล้เคียงยาง มาตรฐานที่ติดมาจากโรงงานที่สุด ถ้ายางที่เปลี่ยนใหม่มีเส้นรอบวงมากขึ้น อัตราเร่งจะอืด มาตรวัดความเร็วจะแสดงผลน้อยกว่าความเร็วจริง (ไมล์แข็ง)
       ถ้ายางที่เปลี่ยนใหม่มีเส้นรอบวงน้อยลง อัตราเร่งจะดี แต่จะได้ระยะทางต่อเกียร์น้อยลง เพราะล้อหมุนแต่ละรอบได้ระยะทางสั้นลง มาตรวัดความเร็วจะแสดงผลมากกว่าความเร็วจริง (ไมล์อ่อน)
       ยางขอบ 17 นิ้ว ไม่แน่ว่าจะมีเส้นรอบวงมากกว่ายางขอบ 15 น17 หรือ 18 นิ้ว ซีรีส์ต่ำแก้มเตี้ยบางเฉียบก็มี
       มี 2 วิธีสำหรับการเลือกขนาดยาง
       1. คำนวณตามสูตรหารัศมี เส้นผ่าศูนย์กลาง และเส้นรอบวง แม้ไม่ยาก แต่ก็ยุ่งสำหรับหลายคน
       2. หลายคนจำสูตรคำนวณไม่ได้ และไม่อยากยุ่งยาก ก็ไม่ต้องคำนวณให้งง
       สนใจจะเปลี่ยนเป็นยางขนาดใดก็ให้ยกเทียบ ถ้าจะให้แม่นยำต้องใส่ยางเข้ากับกระทะล้อและสูบลมสัก 30 ปอนด์ฯ จึงยกเทียบ แต่ถ้าไม่สะดวกเพราะทางร้านไม่ยอมทำให้ แค่ยกเฉพาะยางเปล่าๆ มาตั้งเทียบกับยางเดิมก็พอทราบ
       เมื่อยกเทียบความสูงโดยรวม (ไม่ใช่แค่แก้ม) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเส้นรอบวง ถ้ามีความสูงแตกต่างกันเล็กน้อยก็พอรับได้ เช่น
       ยางใหม่เตี้ยกว่าเดิมไม่เกิน 1 เซนติเมตร เมื่อใส่เข้ากับรถยนต์ รัศมีจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร หรือรถยนต์สูงขึ้นไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร
       ยางใหม่สูงขึ้นไม่เกิน 2 เซนติเมตร เมื่อใส่เข้ากับรถยนต์ รัศมีจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร หรือรถ ยนต์สูงขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร
       กรณีเปลี่ยนล้อแม็กวงโตขึ้นตามสูตร +2 นิ้ว เมื่อจะเลือกยางก็มักพบว่ายางจะมีขนาดใกล้เคียงเดิมหรือสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งถือว่าดีกว่าเตี้ยลง เพราะถ้าเตี้ยลง ระยะห่างระหว่างยางกับขอบบังโคลนจะมีมากขึ้นจนดูไม่สวย (ยางเดิมก็ห่างมากอยู่แล้ว) เลือกยางใหม่ให้มีความ สูงพอๆ กับยางเดิม หรือสูงขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร ถือว่าลงตัว
       ส่วนความกว้างของยาง ถ้าไม่ได้เน้นรีดแรงม้าลงพื้น ด้วยเครื่องยนต์หลายร้อยแรงม้า ไม่เน้นความสวยแบบดุดันด้วยล้อแม็กและยางกว้างๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ขอสวยแค่พอประมาณ และกังวลกับเรื่องความอืด หรือกลัวช่วงล่างพังเร็ว ก็ให้เลือกยางที่มีความกว้างน้อยที่สุดเท่าที่มีและใส่กับล้อแม็กวงนั้นได้ อย่างเหมาะสม
       เช่น ล้อแม็กใส่ยางกว้าง 215 หรือ 225 มิลลิเมตรก็ได้ ควรเลือกยางขนาด 215 มิลลิเมตร แต่ถ้าอยากสวยแบบดุๆ และยอมรับข้อเสียได้ก็เลือกให้กว้างสุดๆ เท่าที่จะใส่ได้โดยไม่ติดขัด
       คดง่ายไหม
       หลายคนกังวลเมื่อจะเปลี่ยนล้อแม็กวงโต เหมารวมว่าล้อแม็กที่มีขนาดตัวเลขมาก เช่น 17 นิ้ว จะคดง่าย กว่าตัวเลขน้อย เช่น 16 หรือ 15 นิ้ว
       ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของวัสดุที่นำมาผลิต ขบวน การผลิต รูปแบบและขนาดของก้านล้อแม็ก
       สรุปง่ายๆ คือ ล้อแม็กขอบ 16 นิ้วเนื้อนิ่มหรือก้านบางเล็ก อาจคดง่ายหรือเปราะกว่าล้อแม็กขอบ 17 นิ้วเนื้อแข็งหรือก้านหนาก็เป็นได้ จะคดง่ายหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับหลายส่วนประกอบ ไม่ใช่แค่ขนาดของล้อแม็กว่า เป็นกี่นิ้ว ดังนั้นหากมีโอกาสก็ควรสนใจคุณภาพและความหนาบางของก้านล้อแม็กไว้ด้วย
       อัตราเร่งอืดไหม ?
       หลายคนรีบมองว่าเมื่อใส่ล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว จะต้องอืดกว่าเมื่อใส่ขอบ 15 นิ้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจริง แต่ไม่ใช่ความจริงเสมอไป เพราะถ้าล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว มีเนื้อแน่น วัสดุแข็งแรง ทำให้ผลิตได้บาง ก้านบาง ยางแก้มเตี้ย และไม่กว้างมาก เส้นรอบวงโดยรวมและน้ำหนักรวมพอๆ กับตอนใช้ล้อแม็กขอบ 15 นิ้ว อัตราเร่งก็อืดลงนิดเดียวเพราะความกว้างของยางที่มากขึ้น
       ล้อแม็กวงโตคุณภาพดี + ยางแก้มเตี้ย
       หลายชุดพบว่ามีน้ำหนักรวมแทบไม่ต่างจากล้อแม็ก วงเล็กเดิมๆ เลย โดยส่วนใหญ่ที่ทำให้อัตราเร่งอืดลง เป็นเพราะล้อแม็กวงโตใช้วัสดุไม่ดี จึงต้องทำให้หนาและก้านโตหนาไว้ก่อน น้ำหนักโดยรวมจึงมากขึ้น เมื่อบวกกับยางที่กว้างขึ้น ก็จึงทำให้อัตราเร่งอืดลงจนสัมผัสได้
       การเลือกล้อแม็ก ถ้าสนใจเรื่องอัตราเร่งก็ควรเลือกทั้งเส้นรอบวงโดยรวม น้ำหนัก และความกว้างของยางให้ใกล้เคียงเดิม
       ใส่แล้วช่วงล่างพังไหม ?
       เป็นคำถามยอดนิยม ซึ่งมีคำตอบ คือ อายุสั้นลงบ้าง แต่ไม่ได้สั้นลงมาก และไม่ได้พังในทันที พิสูจน์ได้จากรถยนต์หลายรุ่น ที่มีหลายรุ่นย่อย ซึ่งใช้ล้อและยางต่างขนาดกัน ตั้งแต่ล้อวงเล็กในรุ่นพื้นฐาน ไปจนถึงวงโต ในรุ่นพลังแรง ก็แทบไม่พบว่ามีการใช้ลูกหมาก บู๊ช และลูกปืนล้อต่างรุ่นกันเลย
       ดังนั้นจึงสามารถสบายใจได้ว่า อายุการใช้งานของ ช่วงล่างที่ใส่ล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ยจะสั้นลงบ้างเท่านั้น และถ้ามีน้ำหนักรวมไม่ต่างจากเดิมมากและยางไม่ กว้างนัก ก็ยิ่งแทบไม่ลดทอนอายุของช่วงล่างเลย ขนาดตามตัวเลขไม่ใช่ผลกระทบหลัก แต่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักรวมและความกว้างของยางมากกว่า
       หลายเรื่องของล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ย เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา เพราะการมองอย่างผิวเผิน หากมองลึกสักหน่อยก็จะเข้าใจได้ดีขึ้น
<
 

Sample text

Sample Text

 
Blogger Templates