วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ประวัติ รถ Mini Cooper
หากพูดถึงรถหรูขนาดเล็ก น่ารัก โดนใจวัยรุ่นทั้งหลายแล้วคงหนีไม่พ้น รถยอดนิยมที่ชื่อ mini cooper ซึ่งมีประวัติความเป็นมาคร่าวๆดังนี้ครับ รถมินิ คือรถขนาดเล็กที่ผลิตขึ้นโดย บริติชมอเตอร์คอร์ปอเรชัน (บีเอ็มซี) ได้รับการประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 จนกระทั่ง 2000 เป็นรถที่โด่งดังที่สุดที่ผลิตโดยชาวอังกฤษ ต่อมาได้มีการเข้าแทนที่โดยรถนิวมินิ ที่ออกมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 จากบีเอ็มดับบลิว บริษัทแม่ในปัจจุบันของ บีเอ็มซี ซึ่งรถมินิในแบบดั้งเดิมถือเป็นสัญลักษณ์ในช่วงยุคทศวรรษ 1960 เป็นรถประหยัดพื้นที่ ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้าซึ่งได้รับความนิยมมากในสมัยนั้น และยังมีอิทธิพลต่อการผลิตรถยนต์ในรุ่นต่อมา ในบางครั้งได้รับการพิจารณาว่าเทียบเท่ากับรถเยอรมันอย่าง รถเต่าโฟล์คสวาเกน ที่ได้รับความแพร่หลายในอเมริกาเหนือ ลักษณะเด่นของรถมินิคือมี 2 ประตู ออกแบบโดย เซอร์ อเล็ก อิซซิโกนิส มีการผลิตที่โรงงานในลองบริดจ์และคาวลีย์ ในสหราชอาณาจักร และได้มีการขยายโรงงานออกไปอีกมากมายหลายสาขาเช่น โรงงานในวิกตอเรียปาร์ก/เซ็ตแลนด์ ของ บริติชมอเตอร์คอโปเรชัน (ออสเตรเลีย) ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย และต่อมาในสเปน (Authi), เบลเยี่ยม, ชิลี, อิตาลี ,โปรตุเกส เป็นต้น ในส่วนของมินิประเทศไทยนั้นได้มีการเปิดตัวมินิเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ภายใต้รหัส คูเปอร์ ดี และคูเปอร์ เอสดี เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 4 สูบแถวเรียง 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบแปรผันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันได้สูงสุดถึง 19.6 กิโลเมตร / ลิตรสำหรับ คูเปอร์ ดี ในรุ่นแฮ็ทช์แบค 3 ประตู โดยเครื่องยนต์ดังกล่าวได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีมาจากพื้นฐานของเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 4 สูบ 2.0 ลิตรที่ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบาพร้อมด้วยเทคโนโลยีอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผันที่ให้กำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกช่วงของรอบเครื่องยนต์ ทำให้มีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงเป็นเยี่ยมถึง 19.6 กิโลเมตร / ลิตร และให้แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,250 สำหรับ คูเปอร์ ดี ในรุ่นแฮ็ทช์แบค 3 ประตูและสำหรับ คูเปอร์ เอสดี ในรุ่นแฮ็ทช์แบค 3 ประตูนั้น มีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงอยู่ที่ 18.9 กิโลเมตร / ลิตร และให้แรงบิดสูงสุดถึง 305 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,700 รอบ ทำให้มินิคูเปอร์ เอสดี เป็นรถที่มีพละกำลังเมื่อเทียบกับรถยนต์ในขนาดเดียวกัน นอกจากนี้ แล้วเครื่องยนต์ดีเซลเจนเนอเรชั่นใหม่ของมินิยังได้รับการปรับปรุงเพื่อลด vibration และลดเสียงจากห้องเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น ทำให้เครื่องเดินเงียบได้เป็นอย่างดี ปราศจากอาการสั่นของเครื่องยนต์ดีเซลแบบทั่วไป ซึ่งตัวรถมินิในประเทศไทยนั้นถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากดีไซด์ ที่น่ารักเหมาะกับทุกเพศทุกวัย จึงทำให้รถ Mini Cooper นั้น ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในขณะนี้ครับ - See more at: http://www.import-car-thailand.com/#sthash.Aw6NLWLL.dpuf
ป้ายกำกับ:
ขับรถ,
ดูแลรถ,
ดูแลรักษารถยนต์,
รถแพง,
รถหรู
10 อันดับ รถหรู แพงที่ซู้ด
10 อับดับรถหรูราคาแพง 2013 ราคานี้เป็นราคาซื้อขายกันระหว่างดีลเลอร์กับผู้ขายไม่รวมภาษี ไม่นับรวมกับการประมูลเพราะไม่สามารถตีราคาที่แท้จริงได้
- รถหรูอันดับที่ 1 ได้แก่ มายบัค เอ็กซ์เซเลโร่ (Maybach Exelero) โดยมีราคาถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ ประมาณ 240 ล้านบาท เป็นรถหรูจากเยอรมันผลิตคันเดียวเท่านั่น สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่ 350กม./ชม. แม้มีน้ำหนักถึง 2,600 กิโลกรัม
- รถหรูอันดับที่ 2 ได้แก่ โรลส์-รอยซ์ ไฮเปอเรียน พินินฟารินา (Rolls-Royce Hyperion Pininfarina) ด้วยราคา 7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 210 ล้านบาท ออกแบบโดยสำนักออกแบบพินินฟารินา
- รถหรูอันดับที่ 3 ได้แก่ โคอีนิกเซ็ก ซีซีเอ็กซ์อาร์ ทรีวิตา (Koenigsegg CCXR Trevita) ด้วยราคา 4.85 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 145.5 ล้านบาท มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 400 กม./ชม. มีอัตราเร่งที่ 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 2.9 วินาที
- รถหรูอันดับที่ 4 ได้แก่ เฟอร์รารี่ P4/5 พินินฟารินา (Ferrari P4/5 Pininfarina) ด้วยราคาราคา 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 144 ล้านบาท ออกแบบโดยสำนักออกแบบพินินฟารินา ความเร็มสูงสุดอยู่ที่ 375 กม/ชม. อัตราเร่งที่ 0-100 กม/ชม. ในเวลา 3 วินาที
- รถหรูอันดับที่ 5 ได้แก่ เฟอร์รารี่ เอสพี 12 อีริค แคลปตัน (Ferrari SP12 EC) ราคา 4.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 141 ล้านบาท โดยผลิตเพียงคันเดียวให้แก่ อีริค แคลปตัน มือกีตาร์ชื่อดังของโลก
- รถหรูอันดับที่ 6 ได้แก่ ลัมบอร์กินี เวเนโน (Lamborghini Veneno) ด้วยราคาราคา 4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 120 ล้านบาท ความเร็วมสูงสุดอยู่ที่ 354 กม/ชม. มีอัตราเร่งตั้งแต่ 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.8 วินาทีเท่านั่น
- รถหรูอันดับที่ 7 บูกัตติ เวย์รอน 16.4 ซูเปอร์สปอร์ต แซง นอร์ (Bugatti Veyron 16.4 Super Sport Sang Noir) ด้วยราคา 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 102 ล้านบาท เป็นรถที่มีความเร็วสูงสุดที่ทำลายสถิติโลกในปี 2010 ด้วยความเร็ว 434 กม./ชม
- รถหรูอันดับที่ 8 ได้แก่ ดับบลิว มอเตอร์ ไลแคน ไฮเปอร์สปอร์ต (W Motor Lykan Hypersport) ราคา 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 102 ล้านบาท โดยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 395 กม./ชม. โดยมีอัตรเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.8 วินาที
- รถหรูอันดับ 9 ได้แก่ เซนโว เอสที 1 (Zenvo ST1) ราคา 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 54 ล้านบาท โดยรถเซนโว เอสที 1ผลิตเพียง 15 คันเท่านั่น ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 375 กม/ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชมภายใน 3 วินาที
- รถหรูอันดับ 10 ได้แก่ ชัปพัน 962 ซีอาร์ (Schuppan 962CR) ราคา 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 45 ล้านบาท มีความเร็วสูงสุดที่ 370 กม./ชม. และมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ม.ภายใน 3วินาที
- See more at: http://www.import-car-thailand.com/#sthash.Aw6NLWLL.dpuf
ป้ายกำกับ:
ขับรถ,
ดูแลรถ,
ดูแลรักษารถยนต์,
รถแพง,
รถหรู
รถหรู 5 ประเภทที่แข้งเมืองผู้ดีนิยมใช้
อังกฤษถือเป็นเมืองทางยุโรปที่เป็นตลาดใหญ่ของรถดังหลายรูปแบบนักฟุตบอลมีรายได้มากที่สุดก็ที่นี่
มีเงินก็ต้องใช้ให้คุ้ม ไม่แปลกหลอกครับที่นักเตะดังๆหลายคนของลีกอังกฤษจะมีรถหรูในราคาที่แพงแสนแพง ก็เพราะค่าเหนื่อยของนักเตะแต่ละคนนั้น ถ้าเอามานับรวมกันคงได้ราวๆหนึ่งกองภูเขาใหญ่ การจะซื้อรถหรูๆ สักคันไม่ใช่เรื่องยาก วันนี้เราจะพาทุกท่านมาดู รถหรู 5 ประเภทที่แข้งเมืองผู้ดีนิยมใช้กันครับ
1. Range Rover Sport (เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต) รถหรูประเภทแรกถือได้ว่าเป็นรถที่มี option ครบเครื่องเหมาะสำหรับไว้ไปเที่ยวหรือปิกนิก ซึ่งนักแตะที่ใช้รถประเภทนี้ได้แก่ เวนย์ รูนีย์, ไรอัน กิกส์, จอห์น เทอร์รี
ราคารวม : 5.1 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 140 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 385 แรงม้า
2. Porsche Cayenne (พอร์ช คาเยน) รถหรูประเภทที่สอง รุ่นนี้มีไว้สำหรับนักซิ่งด้วยอัตราเร่งสูงสุด 173 ไมล์ ต่อชั่วโมง ซึ่งนักแตะที่ใช้รถประเภทนี้ได้แก่ สตีเวน เจอร์ราร์ด, โรบิน ฟาน เพอร์ซี, และยายา ตูเร
ราคารวม : 4.5 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 173 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 550 แรงม้า
3. Audi Q7 (ออดี คิว 7) รถหรูประเภทที่สาม เป็นอีกรุ่นที่แข้งผู้ดีชอบใช้ คือ หลุยส์ นานี, เฟร์นานโด ตอร์เรส, และริโอ เฟอร์ดินานด์
ราคารวม : 4.7 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 155 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 500 แรงม้า
4. Aston Martin DB9 (แอสตัน มาร์ติน ดีบี 9) รถหรูประเภทที่สี่ โดยรูปทรงที่ฉูดฉาด หรูหราที่สาวๆต้องเหลียวมอง โดนใจแข้งผู้ดีไปหลายราย เช่น ฆวน มาตา และแฟรงค์ แลมพาร์ด
ราคารวม : 6.4 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 190 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 470 แรงม้า
5. Bentley Continental (เบนท์ลีย์ คอนติเนนตัล) รถหรูประเภทสุดท้าย เป็นรถที่มีผู้คนนิยมใช้กันมากที่สุดในประเทศอังกฤษ โดยถูกใจเหล่านักแตะอย่าง ดาบิด ซิลบา, ซามูเอล เอโต, และวิคเตอร์ โมเซส ด้วยครับ
ราคารวม : 6.6 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 195 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 200 แรงม้า
- See more at: http://www.import-car-thailand.com/#sthash.Aw6NLWLL.dpuf
1. Range Rover Sport (เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต) รถหรูประเภทแรกถือได้ว่าเป็นรถที่มี option ครบเครื่องเหมาะสำหรับไว้ไปเที่ยวหรือปิกนิก ซึ่งนักแตะที่ใช้รถประเภทนี้ได้แก่ เวนย์ รูนีย์, ไรอัน กิกส์, จอห์น เทอร์รี
ราคารวม : 5.1 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 140 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 385 แรงม้า
2. Porsche Cayenne (พอร์ช คาเยน) รถหรูประเภทที่สอง รุ่นนี้มีไว้สำหรับนักซิ่งด้วยอัตราเร่งสูงสุด 173 ไมล์ ต่อชั่วโมง ซึ่งนักแตะที่ใช้รถประเภทนี้ได้แก่ สตีเวน เจอร์ราร์ด, โรบิน ฟาน เพอร์ซี, และยายา ตูเร
ราคารวม : 4.5 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 173 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 550 แรงม้า
3. Audi Q7 (ออดี คิว 7) รถหรูประเภทที่สาม เป็นอีกรุ่นที่แข้งผู้ดีชอบใช้ คือ หลุยส์ นานี, เฟร์นานโด ตอร์เรส, และริโอ เฟอร์ดินานด์
ราคารวม : 4.7 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 155 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 500 แรงม้า
4. Aston Martin DB9 (แอสตัน มาร์ติน ดีบี 9) รถหรูประเภทที่สี่ โดยรูปทรงที่ฉูดฉาด หรูหราที่สาวๆต้องเหลียวมอง โดนใจแข้งผู้ดีไปหลายราย เช่น ฆวน มาตา และแฟรงค์ แลมพาร์ด
ราคารวม : 6.4 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 190 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 470 แรงม้า
5. Bentley Continental (เบนท์ลีย์ คอนติเนนตัล) รถหรูประเภทสุดท้าย เป็นรถที่มีผู้คนนิยมใช้กันมากที่สุดในประเทศอังกฤษ โดยถูกใจเหล่านักแตะอย่าง ดาบิด ซิลบา, ซามูเอล เอโต, และวิคเตอร์ โมเซส ด้วยครับ
ราคารวม : 6.6 ล้านบาท
ความเร็วสูงสุด : 195 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ความแรง : 200 แรงม้า
ป้ายกำกับ:
ขับรถ,
ดูแลรถ,
ดูแลรักษารถยนต์,
รถแพง,
รถหรู
วิธีเปิดไฟตัดหมอก แบบถูกต้อง
ไฟตัดหมอก ถือกำเนิดขึ้นมาในแถบประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง หรือแถบที่อากาศ
หนาว หรือประเทศที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยน้ำ ทำให้มีฝนตกบ่อยตลอดทั้งปี มีบรรยากาศที่ขมุกขมัวหรือมีหมอกเป็นส่วนมาก หรือมีหมอกมีฝนมากกว่าเวลาที่อากาศปลอดโปร่ง ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยานพาหนะจึงมีการคิดค้นไฟตัดหมอกขึ้นมา
ไฟ ตัดหมอกจะใช้ไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตไลท์ ส่องในระนาบขนานกับพื้นถนนหรือตกพื้นในระยะไกล ดังนั้นความสว่างจึงมีมากและไปได้ไกล เพราะหลอดไฟหน้ามุมจะตกลงพื้นถนน แต่ไฟตัดหมอกจะส่องขนานไปกับพื้นถนนหรือตัวรถ หลอดไฟหน้าปกติถ้าเปิดส่องในขณะที่หมอกจัดหรือ ฝนตกหนักเพราะมุมที่เอียงลงจึงทำให้เกิดมุมสะท้อนกลับสู่สายตาของผู้ขับขี่ จึงทำให้แสงที่ส่องผ่านไปมีน้อยหรือมองเห็นแค่ในระยะไม่เกิน 10-15 เมตร แถมแสบตากับแสงที่สะท้อนกลับ แต่ไฟตัดหมอกที่ส่องแบบขนานพื้นจะไม่สะท้อนมาที่ห้องโดยสารสามารถทะลุทะลวง ได้มาก และสะท้อนกลับมาก็ในมุมที่ไม่กระทบผู้ขับขี่ ทำให้มองเห็นได้ในระยะมากกว่า 30-80 เมตร ในทำนองเดียวกันเมื่อพื้นถนนเปียกหรือฝนหยุดตกใหม่ๆในตอนกลางคืน ไฟหน้าปกติที่ส่องลงผิวถนนจะถูกพื้นน้ำสะท้อนออกไปในอีกมุมนึงบางครั้ง เหมือนกับว่าแทบจะมองไม่เห็นผิวถนนด้วยซ้ำไป แต่ไฟตัดหมอกที่แทบจะไม่ส่องลงพื้นถนนยังสามารถมองเห็นผิวถนนในระยะสายตาได้ อย่างชัดเจน ซึ่งในแถบประเทศเขตเมืองหนาวได้ออกกฏบังคับให้รถทุกคัน ต้องมีไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์มาตรฐานความจริงไฟตัดหมอกมีมานานแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่เป็นที่นิยมเพราะราคาแพงและไม่มีความจำเป็น จึงมีให้เห็นเฉพาะกับรถนำเข้าจากเขตเมืองหนาวหรือเขตเมืองที่อยู่สูงกว่า ระดับน้ำทะเลมากๆ เท่านั้น ต่อมาค่านิยมเริ่มเปลี่ยนไป เพราะการติดไฟตัดหมอกถือว่าเท่และทันสมัย ประกอบกับบราคาที่ถูกลงจึงมีการหาซื้อมาดัดแปลงติดตั้งเพิ่มเติมกัน แม้แต่รถที่ผลิตในเมืองไทยก็ยังนิยมติดไฟตัดหมอก
ปัจจุบันคนไทยนิยม ตกแต่งรถด้วยไฟตัดหมอก และมักเปิดใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ผิดวิธี ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทางรายอื่นๆ กล่าวคือ ไฟตัดหมอก เป็นไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็สปอตไลท์ จึงสามารถส่องสว่างไปได้ไกล ซึ่งหากเปิดใช้ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม แสงจากหลอดไฟตัดหมอก จะไปแยงและ รบกวนสายตาผู้ที่ขับรถสวนทางมา ทำให้ตาพร่ามัว จึงมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่าปกติ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงขอเสนอแนะให้ผู้ขับรถเปิดใช้ไฟตัดหมอก อย่างปลอดภัยและถูกวิธี โดยให้เปิดใช้ไฟตัดหมอกในกรณีต่างๆ ดังนี้
1. ฝนตกปรอยๆ หรือตกหนัก ไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์มาก
แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตามเพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
2. เมื่อขึ้นภูเขาสูงหรือยอดเขา เช่นภูเรือ-ดอยสุเทพ เป็นต้น
โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและ ตอนกลางคืน เพราะที่สูงๆนั้นหมอกจะมีมากกว่าปกติ
3. ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ ซึ่งไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนะวิสัยในการขับขี่
ดีขึ้น เพราะไฟหน้าปกติของเราถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว
4. ทุกกรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนะวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50 เมตร
5. ปิดไฟตัดหมองทันทีที่มีรถสวนมา ในระยะที่มองเห็นไฟห้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน
แม้แต่รถที่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติก็จะสั่งปิดไฟตัดหมอกคงไว้เฉพาะไฟปกติเมื่อสัญญานจับได้ว่ามีไฟสะท้อนมาในมุมตรงข้าม
สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่า การใช้ไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธี จะก่อให้เกิดประโยชน์และช่วยเพิ่มความปลอดภัย
ใน การใช้รถใช้ถนน ทำให้สามารถมองเห็นรถคันอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน ในทางตรงกันข้าม การเปิดไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่มีมารยาท และผิดวิธี นอกจากจะรบกวนสายตาและสร้างความรำคาญให้กับผู้ขับรถรายอื่นๆ ที่ร่วมใช้เส้นทางแล้ว ยังเพิ่มโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงขอให้ท่านเจ้าของรถที่ติดตั้งไฟตัดหมอก เปิดใช้อย่างถูกวิธีและใช้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ตลอดจนต้องมีความเอื้ออาทร ขับรถอย่างมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทาง ก็จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดอุบัติภัยทางท้องถนนได้....
หนาว หรือประเทศที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยน้ำ ทำให้มีฝนตกบ่อยตลอดทั้งปี มีบรรยากาศที่ขมุกขมัวหรือมีหมอกเป็นส่วนมาก หรือมีหมอกมีฝนมากกว่าเวลาที่อากาศปลอดโปร่ง ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยานพาหนะจึงมีการคิดค้นไฟตัดหมอกขึ้นมา
ไฟ ตัดหมอกจะใช้ไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตไลท์ ส่องในระนาบขนานกับพื้นถนนหรือตกพื้นในระยะไกล ดังนั้นความสว่างจึงมีมากและไปได้ไกล เพราะหลอดไฟหน้ามุมจะตกลงพื้นถนน แต่ไฟตัดหมอกจะส่องขนานไปกับพื้นถนนหรือตัวรถ หลอดไฟหน้าปกติถ้าเปิดส่องในขณะที่หมอกจัดหรือ ฝนตกหนักเพราะมุมที่เอียงลงจึงทำให้เกิดมุมสะท้อนกลับสู่สายตาของผู้ขับขี่ จึงทำให้แสงที่ส่องผ่านไปมีน้อยหรือมองเห็นแค่ในระยะไม่เกิน 10-15 เมตร แถมแสบตากับแสงที่สะท้อนกลับ แต่ไฟตัดหมอกที่ส่องแบบขนานพื้นจะไม่สะท้อนมาที่ห้องโดยสารสามารถทะลุทะลวง ได้มาก และสะท้อนกลับมาก็ในมุมที่ไม่กระทบผู้ขับขี่ ทำให้มองเห็นได้ในระยะมากกว่า 30-80 เมตร ในทำนองเดียวกันเมื่อพื้นถนนเปียกหรือฝนหยุดตกใหม่ๆในตอนกลางคืน ไฟหน้าปกติที่ส่องลงผิวถนนจะถูกพื้นน้ำสะท้อนออกไปในอีกมุมนึงบางครั้ง เหมือนกับว่าแทบจะมองไม่เห็นผิวถนนด้วยซ้ำไป แต่ไฟตัดหมอกที่แทบจะไม่ส่องลงพื้นถนนยังสามารถมองเห็นผิวถนนในระยะสายตาได้ อย่างชัดเจน ซึ่งในแถบประเทศเขตเมืองหนาวได้ออกกฏบังคับให้รถทุกคัน ต้องมีไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์มาตรฐานความจริงไฟตัดหมอกมีมานานแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่เป็นที่นิยมเพราะราคาแพงและไม่มีความจำเป็น จึงมีให้เห็นเฉพาะกับรถนำเข้าจากเขตเมืองหนาวหรือเขตเมืองที่อยู่สูงกว่า ระดับน้ำทะเลมากๆ เท่านั้น ต่อมาค่านิยมเริ่มเปลี่ยนไป เพราะการติดไฟตัดหมอกถือว่าเท่และทันสมัย ประกอบกับบราคาที่ถูกลงจึงมีการหาซื้อมาดัดแปลงติดตั้งเพิ่มเติมกัน แม้แต่รถที่ผลิตในเมืองไทยก็ยังนิยมติดไฟตัดหมอก
ปัจจุบันคนไทยนิยม ตกแต่งรถด้วยไฟตัดหมอก และมักเปิดใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ผิดวิธี ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทางรายอื่นๆ กล่าวคือ ไฟตัดหมอก เป็นไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็สปอตไลท์ จึงสามารถส่องสว่างไปได้ไกล ซึ่งหากเปิดใช้ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม แสงจากหลอดไฟตัดหมอก จะไปแยงและ รบกวนสายตาผู้ที่ขับรถสวนทางมา ทำให้ตาพร่ามัว จึงมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่าปกติ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงขอเสนอแนะให้ผู้ขับรถเปิดใช้ไฟตัดหมอก อย่างปลอดภัยและถูกวิธี โดยให้เปิดใช้ไฟตัดหมอกในกรณีต่างๆ ดังนี้
1. ฝนตกปรอยๆ หรือตกหนัก ไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์มาก
แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตามเพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
2. เมื่อขึ้นภูเขาสูงหรือยอดเขา เช่นภูเรือ-ดอยสุเทพ เป็นต้น
โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและ ตอนกลางคืน เพราะที่สูงๆนั้นหมอกจะมีมากกว่าปกติ
3. ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ ซึ่งไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนะวิสัยในการขับขี่
ดีขึ้น เพราะไฟหน้าปกติของเราถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว
4. ทุกกรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนะวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50 เมตร
5. ปิดไฟตัดหมองทันทีที่มีรถสวนมา ในระยะที่มองเห็นไฟห้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน
แม้แต่รถที่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติก็จะสั่งปิดไฟตัดหมอกคงไว้เฉพาะไฟปกติเมื่อสัญญานจับได้ว่ามีไฟสะท้อนมาในมุมตรงข้าม
สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่า การใช้ไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธี จะก่อให้เกิดประโยชน์และช่วยเพิ่มความปลอดภัย
ใน การใช้รถใช้ถนน ทำให้สามารถมองเห็นรถคันอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน ในทางตรงกันข้าม การเปิดไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่มีมารยาท และผิดวิธี นอกจากจะรบกวนสายตาและสร้างความรำคาญให้กับผู้ขับรถรายอื่นๆ ที่ร่วมใช้เส้นทางแล้ว ยังเพิ่มโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงขอให้ท่านเจ้าของรถที่ติดตั้งไฟตัดหมอก เปิดใช้อย่างถูกวิธีและใช้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ตลอดจนต้องมีความเอื้ออาทร ขับรถอย่างมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทาง ก็จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดอุบัติภัยทางท้องถนนได้....
ป้ายกำกับ:
ขับรถ,
ดูแลรถ,
ดูแลรักษารถยนต์,
ประกันรถยนต์,
รถแพง,
รถหรู,
อะไหล่รถ
เลือกล้อให้ถูกกับรถ
ถามซ:ล้อแม็กวงโต 16 17 18 นิ้่ว จะติดขอบบัีงโคลนไหม ขนาดเท่าไรสวย จะคดง่ายไหม จะอืดไหม?
แค่เห็นตัวเลขเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อแม็กใหญ่กว่าเดิมหลายนิ้ว หลายคนก็รีบตั้งคำถามในใจหรืออาจสรุปไปเลยว่า ใส่แล้วต้องติดบังโคลน ต้องคดง่าย อัตราเร่งจะอืด ทั้งที่ยังไม่ได้ดูขนาดยางและรายละเอียดอื่นเลย
หนึ่งในการตกแต่งรถยนต์ขั้นพื้นฐาน ราคาไม่แพงนัก มีให้เลือกซื้อสารพัดยี่ห้อ สวยแปลกตาขึ้นฉับพลันในชั่วโมงเดียว แต่ก็มีคำถามค้างคาใจว่า
ขนาด 16 17 18 นิ้ว ใส่เข้าไปแล้วจะติดบังโคลนไหม ?
ขนาดเท่าไรสวย ลังเล ใหญ่เกินไปก็กลัวผลกระ ทบที่ตามมา เล็กไปก็กลัวไม่สวย ?
จะคดง่ายไหม เลือกวงเล็กไว้ก่อนดีไหม จะได้คดยาก ?
ล้อแม็กวงโตจะทำให้อัตราเร่งอืดไหม ?
สารพัดความกลัว ที่เกิดขึ้นเพราะไม่มองให้ลึกแล้วรีบสรุป
สวย หรือดีด้านประสิทธิภาพด้วย
การเปลี่ยนล้อแม็กวงโต เส้นผ่าศูนย์กลางมากขึ้น ถูกเปลี่ยนพร้อมยางแก้มเตี้ยลงและกว้างขึ้น เพื่อรักษาเส้นรอบวงให้ใกล้เคียงยางมาตรฐานเดิม และรับกับความกว้างของล้อแม็กที่เพิ่มขึ้น
ความต้องการหลักอยู่ที่การเพิ่มความสวยงาม ส่วนอื่นเป็นเรื่องรองลงไป เช่น ประสิทธิภาพการทรงตัวและการเกาะถนนที่เพิ่มขึ้น จากความกว้างของยางที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้หน้ายางที่สัมผัสพื้นกว้างขึ้นตามไปด้วย แก้ม ยางที่เตี้ยลงก็โย้ตัวยากขึ้น ไม่เซ และลดการยกตัวของหน้ายาง
แม้ประสิทธิภาพการเกาะถนนจะเพิ่มขึ้นจริง แต่ก็นับเป็นผลพลอยได้ที่มีโอกาสได้ใช้น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ขับเร็วและเข้าโค้งดุเดือดเท่าไรนัก
กี่นิ้วดี ? อย่าลืมยาง !
การเลือกขนาดล้อแม็ก ประเด็นสำคัญอยู่ที่เส้นผ่าศูนย์กลาง เช่น 15, 16, 17 หรือ 18 นิ้ว ส่วนความกว้าง 6, 7, 7.5 หรือ 8 นิ้วเป็นเรื่องรองลงไป เช่นเดียวกับระยะ ออฟเซต (ระยะยื่น) ที่ยังมีหลายคนไม่เข้าใจ ส่วนใหญ่จึงพิจารณาแต่ตัวเลขเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 16 17 18 นิ้ว แต่ก็ยังเกิดปัญหากับตัวเลขของล้อแม็ก เห็นตัวเลขมากแล้วกลัวติดบังโคลน กลัวคดง่าย กลัวอืด กลัวแพง ทั้งที่รถยนต์ไม่ได้แล่นบนล้อเหล็กไม่มียางแบบรถไฟ แต่ต้องมียางหุ้มล้ออีกชั้น ดังนั้นอย่าลืม...ยาง
ไม่ควรรีบสรุปขนาดโดยรวมด้วยตัวเลข 15 16 17 18 นิ้ว เพราะต้องขึ้นอยู่กับขนาดยางด้วย
สมมุติล้อเดิมขนาด 15 นิ้ว ใส่กับยางแก้มสูง หาก เปลี่ยนมาใส่ขอบ 17 นิ้ว ตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 2 นิ้ว ดูแล้วน่าตื่นเต้น แต่ถ้าประกบด้วยยางแก้มเตี้ยบางเฉียบ เส้นรอบวงโดยรวมของล้อ 17 นิ้ว อาจเตี้ยกว่ายางขอบ 15 นิ้ว ชุดเดิมก็เป็นได้ ส่วนความกว้างและออฟเซตค่อยว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นอย่าตื่นเต้นว่าจะต้องเกิดปัญหา เมื่อเปลี่ยน ล้อแม็กขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายนิ้ว เพราะยังต้องเกี่ยว ข้องกับขนาดยาง ความกว้างของล้อและระยะออฟเซตด้วย
เลือกกี่นิ้วดี ?
ในเมื่อจุดประสงค์หลักของการเปลี่ยนล้อแม็กวงโต อยู่ที่ความสวยงามเป็นหลัก ตามหลักการแล้ว ยิ่งล้อแม็กขนาดใหญ่ขึ้นเท่าไรก็ยิ่งสวย
+1 นิ้วจากเดิม เช่น จาก 15 เป็น 16 นิ้ว เสียเงินเปล่า แทบไม่สวยขึ้น ดูครึ่งๆ กลางๆ
+2 นิ้วจากเดิม เช่น จาก 15 เป็น 17 นิ้ว ถือเป็นมาตรฐานที่น่าจะสวยขึ้น ถ้าเลือกลายและขนาดยางที่พอเหมาะ ราคาพอรับได้ รวมๆ แล้วไม่แพงจาก +1 นิ้วสักเท่า ไร แต่สวยกว่า +1 นิ้วพอสมควร
+3 นิ้วจากเดิม (หรือกว่านั้น) เช่น จาก 14 เป็น 17 นิ้ว สวยเหลือเฟือแน่ๆ แต่เลือกยาก ถ้าจะไม่ให้ติดขัดกับชิ้นส่วนอื่น และราคาแพงทั้งล้อแม็กและยาง
ปัจจุบันนี้มีสูตร +2 +3 +4 นิ้ว เช่น จากเดิม 15 นิ้ว ขยับเป็น 17 18 หรือพยายามใส่ 19 นิ้วก็ยังมี จึงเป็นบท สรุปตายตัวด้านความสวยว่า ยิ่งใส่ล้อแม็กวงโตเข้าไปโดยไม่เกิดปัญหาและมีเงินจ่ายก็ยิ่งสวย
คนในเมืองนอกเล่นกันดุเดือดขนาด +2 +3 นิ้วกันเพียบ แต่คนไทยหลายคนยังลังเลว่าจะเพิ่มขนาดแบบ +1 หรือ +2 นิ้วดี บอกได้ว่าถ้าเน้นความสวยให้ลืมสูตร +1 นิ้วไปได้เลย เพราะด้านความสวยแทบจะเสียเงินฟรี ! อย่างน้อยให้เริ่มจาก +2 นิ้ว และถ้ามีเงินจ่ายและอยากสวยสุดๆ ต้องเลือก +3 นิ้วจากเดิม
ระยะออฟเซต
มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร คือระยะยื่นหรือหุบของล้อ แม็ก มีผลต่อการกระแทกกับบังโคลนกับยาง ตัวเลขยิ่งน้อยหรือติดลบ เมื่อใส่ล้อเข้าไปกับดุมจะยิ่งยื่นออกมาด้านนอก
เลือกล้อแม็กที่มีระยะออฟเซตใกล้เคียงกับล้อเดิมจากโรงงาน ดูตัวเลขได้แถวๆ ตัวย่อ ET หรือถ้าใช้วิธีตามภาคปฏิบัติก็ให้ใส่ล้อและยางเข้ากับรถยนต์ ขยับรถยนต์สัก 5-10 เมตร เพื่อให้ช่วงล่างทำงานและยุบตัวมาอยู่ในระยะปกติ จอดแล้วหาคนนั่งด้านหลัง 2-3 คนและให้ขย่มแรงๆ สังเกตว่ายางต้องซุกเข้าไปหลังขอบบังโคลนได้ ห่างจากบังโคลนแบบเฉี่ยวๆ 0.5-2 เซนติเมตร และยางต้องไม่หุบเข้าไปด้านในบังโคลนมากเกินไป เพราะจะดูไม่เต็มและไม่สวย
ขนาดยาง ต้องคำนวณหรือยกเทียบ
เน้นที่เส้นรอบวงภายนอกของยาง ต้องใกล้เคียงยาง มาตรฐานที่ติดมาจากโรงงานที่สุด ถ้ายางที่เปลี่ยนใหม่มีเส้นรอบวงมากขึ้น อัตราเร่งจะอืด มาตรวัดความเร็วจะแสดงผลน้อยกว่าความเร็วจริง (ไมล์แข็ง)
ถ้ายางที่เปลี่ยนใหม่มีเส้นรอบวงน้อยลง อัตราเร่งจะดี แต่จะได้ระยะทางต่อเกียร์น้อยลง เพราะล้อหมุนแต่ละรอบได้ระยะทางสั้นลง มาตรวัดความเร็วจะแสดงผลมากกว่าความเร็วจริง (ไมล์อ่อน)
ยางขอบ 17 นิ้ว ไม่แน่ว่าจะมีเส้นรอบวงมากกว่ายางขอบ 15 น17 หรือ 18 นิ้ว ซีรีส์ต่ำแก้มเตี้ยบางเฉียบก็มี
มี 2 วิธีสำหรับการเลือกขนาดยาง
1. คำนวณตามสูตรหารัศมี เส้นผ่าศูนย์กลาง และเส้นรอบวง แม้ไม่ยาก แต่ก็ยุ่งสำหรับหลายคน
2. หลายคนจำสูตรคำนวณไม่ได้ และไม่อยากยุ่งยาก ก็ไม่ต้องคำนวณให้งง
สนใจจะเปลี่ยนเป็นยางขนาดใดก็ให้ยกเทียบ ถ้าจะให้แม่นยำต้องใส่ยางเข้ากับกระทะล้อและสูบลมสัก 30 ปอนด์ฯ จึงยกเทียบ แต่ถ้าไม่สะดวกเพราะทางร้านไม่ยอมทำให้ แค่ยกเฉพาะยางเปล่าๆ มาตั้งเทียบกับยางเดิมก็พอทราบ
เมื่อยกเทียบความสูงโดยรวม (ไม่ใช่แค่แก้ม) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเส้นรอบวง ถ้ามีความสูงแตกต่างกันเล็กน้อยก็พอรับได้ เช่น
ยางใหม่เตี้ยกว่าเดิมไม่เกิน 1 เซนติเมตร เมื่อใส่เข้ากับรถยนต์ รัศมีจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร หรือรถยนต์สูงขึ้นไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร
ยางใหม่สูงขึ้นไม่เกิน 2 เซนติเมตร เมื่อใส่เข้ากับรถยนต์ รัศมีจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร หรือรถ ยนต์สูงขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร
กรณีเปลี่ยนล้อแม็กวงโตขึ้นตามสูตร +2 นิ้ว เมื่อจะเลือกยางก็มักพบว่ายางจะมีขนาดใกล้เคียงเดิมหรือสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งถือว่าดีกว่าเตี้ยลง เพราะถ้าเตี้ยลง ระยะห่างระหว่างยางกับขอบบังโคลนจะมีมากขึ้นจนดูไม่สวย (ยางเดิมก็ห่างมากอยู่แล้ว) เลือกยางใหม่ให้มีความ สูงพอๆ กับยางเดิม หรือสูงขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร ถือว่าลงตัว
ส่วนความกว้างของยาง ถ้าไม่ได้เน้นรีดแรงม้าลงพื้น ด้วยเครื่องยนต์หลายร้อยแรงม้า ไม่เน้นความสวยแบบดุดันด้วยล้อแม็กและยางกว้างๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ขอสวยแค่พอประมาณ และกังวลกับเรื่องความอืด หรือกลัวช่วงล่างพังเร็ว ก็ให้เลือกยางที่มีความกว้างน้อยที่สุดเท่าที่มีและใส่กับล้อแม็กวงนั้นได้ อย่างเหมาะสม
เช่น ล้อแม็กใส่ยางกว้าง 215 หรือ 225 มิลลิเมตรก็ได้ ควรเลือกยางขนาด 215 มิลลิเมตร แต่ถ้าอยากสวยแบบดุๆ และยอมรับข้อเสียได้ก็เลือกให้กว้างสุดๆ เท่าที่จะใส่ได้โดยไม่ติดขัด
คดง่ายไหม
หลายคนกังวลเมื่อจะเปลี่ยนล้อแม็กวงโต เหมารวมว่าล้อแม็กที่มีขนาดตัวเลขมาก เช่น 17 นิ้ว จะคดง่าย กว่าตัวเลขน้อย เช่น 16 หรือ 15 นิ้ว
ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของวัสดุที่นำมาผลิต ขบวน การผลิต รูปแบบและขนาดของก้านล้อแม็ก
สรุปง่ายๆ คือ ล้อแม็กขอบ 16 นิ้วเนื้อนิ่มหรือก้านบางเล็ก อาจคดง่ายหรือเปราะกว่าล้อแม็กขอบ 17 นิ้วเนื้อแข็งหรือก้านหนาก็เป็นได้ จะคดง่ายหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับหลายส่วนประกอบ ไม่ใช่แค่ขนาดของล้อแม็กว่า เป็นกี่นิ้ว ดังนั้นหากมีโอกาสก็ควรสนใจคุณภาพและความหนาบางของก้านล้อแม็กไว้ด้วย
อัตราเร่งอืดไหม ?
หลายคนรีบมองว่าเมื่อใส่ล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว จะต้องอืดกว่าเมื่อใส่ขอบ 15 นิ้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจริง แต่ไม่ใช่ความจริงเสมอไป เพราะถ้าล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว มีเนื้อแน่น วัสดุแข็งแรง ทำให้ผลิตได้บาง ก้านบาง ยางแก้มเตี้ย และไม่กว้างมาก เส้นรอบวงโดยรวมและน้ำหนักรวมพอๆ กับตอนใช้ล้อแม็กขอบ 15 นิ้ว อัตราเร่งก็อืดลงนิดเดียวเพราะความกว้างของยางที่มากขึ้น
ล้อแม็กวงโตคุณภาพดี + ยางแก้มเตี้ย
หลายชุดพบว่ามีน้ำหนักรวมแทบไม่ต่างจากล้อแม็ก วงเล็กเดิมๆ เลย โดยส่วนใหญ่ที่ทำให้อัตราเร่งอืดลง เป็นเพราะล้อแม็กวงโตใช้วัสดุไม่ดี จึงต้องทำให้หนาและก้านโตหนาไว้ก่อน น้ำหนักโดยรวมจึงมากขึ้น เมื่อบวกกับยางที่กว้างขึ้น ก็จึงทำให้อัตราเร่งอืดลงจนสัมผัสได้
การเลือกล้อแม็ก ถ้าสนใจเรื่องอัตราเร่งก็ควรเลือกทั้งเส้นรอบวงโดยรวม น้ำหนัก และความกว้างของยางให้ใกล้เคียงเดิม
ใส่แล้วช่วงล่างพังไหม ?
เป็นคำถามยอดนิยม ซึ่งมีคำตอบ คือ อายุสั้นลงบ้าง แต่ไม่ได้สั้นลงมาก และไม่ได้พังในทันที พิสูจน์ได้จากรถยนต์หลายรุ่น ที่มีหลายรุ่นย่อย ซึ่งใช้ล้อและยางต่างขนาดกัน ตั้งแต่ล้อวงเล็กในรุ่นพื้นฐาน ไปจนถึงวงโต ในรุ่นพลังแรง ก็แทบไม่พบว่ามีการใช้ลูกหมาก บู๊ช และลูกปืนล้อต่างรุ่นกันเลย
ดังนั้นจึงสามารถสบายใจได้ว่า อายุการใช้งานของ ช่วงล่างที่ใส่ล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ยจะสั้นลงบ้างเท่านั้น และถ้ามีน้ำหนักรวมไม่ต่างจากเดิมมากและยางไม่ กว้างนัก ก็ยิ่งแทบไม่ลดทอนอายุของช่วงล่างเลย ขนาดตามตัวเลขไม่ใช่ผลกระทบหลัก แต่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักรวมและความกว้างของยางมากกว่า
หลายเรื่องของล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ย เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา เพราะการมองอย่างผิวเผิน หากมองลึกสักหน่อยก็จะเข้าใจได้ดีขึ้น
<
หนึ่งในการตกแต่งรถยนต์ขั้นพื้นฐาน ราคาไม่แพงนัก มีให้เลือกซื้อสารพัดยี่ห้อ สวยแปลกตาขึ้นฉับพลันในชั่วโมงเดียว แต่ก็มีคำถามค้างคาใจว่า
ขนาด 16 17 18 นิ้ว ใส่เข้าไปแล้วจะติดบังโคลนไหม ?
ขนาดเท่าไรสวย ลังเล ใหญ่เกินไปก็กลัวผลกระ ทบที่ตามมา เล็กไปก็กลัวไม่สวย ?
จะคดง่ายไหม เลือกวงเล็กไว้ก่อนดีไหม จะได้คดยาก ?
ล้อแม็กวงโตจะทำให้อัตราเร่งอืดไหม ?
สารพัดความกลัว ที่เกิดขึ้นเพราะไม่มองให้ลึกแล้วรีบสรุป
สวย หรือดีด้านประสิทธิภาพด้วย
การเปลี่ยนล้อแม็กวงโต เส้นผ่าศูนย์กลางมากขึ้น ถูกเปลี่ยนพร้อมยางแก้มเตี้ยลงและกว้างขึ้น เพื่อรักษาเส้นรอบวงให้ใกล้เคียงยางมาตรฐานเดิม และรับกับความกว้างของล้อแม็กที่เพิ่มขึ้น
ความต้องการหลักอยู่ที่การเพิ่มความสวยงาม ส่วนอื่นเป็นเรื่องรองลงไป เช่น ประสิทธิภาพการทรงตัวและการเกาะถนนที่เพิ่มขึ้น จากความกว้างของยางที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้หน้ายางที่สัมผัสพื้นกว้างขึ้นตามไปด้วย แก้ม ยางที่เตี้ยลงก็โย้ตัวยากขึ้น ไม่เซ และลดการยกตัวของหน้ายาง
แม้ประสิทธิภาพการเกาะถนนจะเพิ่มขึ้นจริง แต่ก็นับเป็นผลพลอยได้ที่มีโอกาสได้ใช้น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ขับเร็วและเข้าโค้งดุเดือดเท่าไรนัก
กี่นิ้วดี ? อย่าลืมยาง !
การเลือกขนาดล้อแม็ก ประเด็นสำคัญอยู่ที่เส้นผ่าศูนย์กลาง เช่น 15, 16, 17 หรือ 18 นิ้ว ส่วนความกว้าง 6, 7, 7.5 หรือ 8 นิ้วเป็นเรื่องรองลงไป เช่นเดียวกับระยะ ออฟเซต (ระยะยื่น) ที่ยังมีหลายคนไม่เข้าใจ ส่วนใหญ่จึงพิจารณาแต่ตัวเลขเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 16 17 18 นิ้ว แต่ก็ยังเกิดปัญหากับตัวเลขของล้อแม็ก เห็นตัวเลขมากแล้วกลัวติดบังโคลน กลัวคดง่าย กลัวอืด กลัวแพง ทั้งที่รถยนต์ไม่ได้แล่นบนล้อเหล็กไม่มียางแบบรถไฟ แต่ต้องมียางหุ้มล้ออีกชั้น ดังนั้นอย่าลืม...ยาง
ไม่ควรรีบสรุปขนาดโดยรวมด้วยตัวเลข 15 16 17 18 นิ้ว เพราะต้องขึ้นอยู่กับขนาดยางด้วย
สมมุติล้อเดิมขนาด 15 นิ้ว ใส่กับยางแก้มสูง หาก เปลี่ยนมาใส่ขอบ 17 นิ้ว ตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 2 นิ้ว ดูแล้วน่าตื่นเต้น แต่ถ้าประกบด้วยยางแก้มเตี้ยบางเฉียบ เส้นรอบวงโดยรวมของล้อ 17 นิ้ว อาจเตี้ยกว่ายางขอบ 15 นิ้ว ชุดเดิมก็เป็นได้ ส่วนความกว้างและออฟเซตค่อยว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นอย่าตื่นเต้นว่าจะต้องเกิดปัญหา เมื่อเปลี่ยน ล้อแม็กขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายนิ้ว เพราะยังต้องเกี่ยว ข้องกับขนาดยาง ความกว้างของล้อและระยะออฟเซตด้วย
เลือกกี่นิ้วดี ?
ในเมื่อจุดประสงค์หลักของการเปลี่ยนล้อแม็กวงโต อยู่ที่ความสวยงามเป็นหลัก ตามหลักการแล้ว ยิ่งล้อแม็กขนาดใหญ่ขึ้นเท่าไรก็ยิ่งสวย
+1 นิ้วจากเดิม เช่น จาก 15 เป็น 16 นิ้ว เสียเงินเปล่า แทบไม่สวยขึ้น ดูครึ่งๆ กลางๆ
+2 นิ้วจากเดิม เช่น จาก 15 เป็น 17 นิ้ว ถือเป็นมาตรฐานที่น่าจะสวยขึ้น ถ้าเลือกลายและขนาดยางที่พอเหมาะ ราคาพอรับได้ รวมๆ แล้วไม่แพงจาก +1 นิ้วสักเท่า ไร แต่สวยกว่า +1 นิ้วพอสมควร
+3 นิ้วจากเดิม (หรือกว่านั้น) เช่น จาก 14 เป็น 17 นิ้ว สวยเหลือเฟือแน่ๆ แต่เลือกยาก ถ้าจะไม่ให้ติดขัดกับชิ้นส่วนอื่น และราคาแพงทั้งล้อแม็กและยาง
ปัจจุบันนี้มีสูตร +2 +3 +4 นิ้ว เช่น จากเดิม 15 นิ้ว ขยับเป็น 17 18 หรือพยายามใส่ 19 นิ้วก็ยังมี จึงเป็นบท สรุปตายตัวด้านความสวยว่า ยิ่งใส่ล้อแม็กวงโตเข้าไปโดยไม่เกิดปัญหาและมีเงินจ่ายก็ยิ่งสวย
คนในเมืองนอกเล่นกันดุเดือดขนาด +2 +3 นิ้วกันเพียบ แต่คนไทยหลายคนยังลังเลว่าจะเพิ่มขนาดแบบ +1 หรือ +2 นิ้วดี บอกได้ว่าถ้าเน้นความสวยให้ลืมสูตร +1 นิ้วไปได้เลย เพราะด้านความสวยแทบจะเสียเงินฟรี ! อย่างน้อยให้เริ่มจาก +2 นิ้ว และถ้ามีเงินจ่ายและอยากสวยสุดๆ ต้องเลือก +3 นิ้วจากเดิม
ระยะออฟเซต
มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร คือระยะยื่นหรือหุบของล้อ แม็ก มีผลต่อการกระแทกกับบังโคลนกับยาง ตัวเลขยิ่งน้อยหรือติดลบ เมื่อใส่ล้อเข้าไปกับดุมจะยิ่งยื่นออกมาด้านนอก
เลือกล้อแม็กที่มีระยะออฟเซตใกล้เคียงกับล้อเดิมจากโรงงาน ดูตัวเลขได้แถวๆ ตัวย่อ ET หรือถ้าใช้วิธีตามภาคปฏิบัติก็ให้ใส่ล้อและยางเข้ากับรถยนต์ ขยับรถยนต์สัก 5-10 เมตร เพื่อให้ช่วงล่างทำงานและยุบตัวมาอยู่ในระยะปกติ จอดแล้วหาคนนั่งด้านหลัง 2-3 คนและให้ขย่มแรงๆ สังเกตว่ายางต้องซุกเข้าไปหลังขอบบังโคลนได้ ห่างจากบังโคลนแบบเฉี่ยวๆ 0.5-2 เซนติเมตร และยางต้องไม่หุบเข้าไปด้านในบังโคลนมากเกินไป เพราะจะดูไม่เต็มและไม่สวย
ขนาดยาง ต้องคำนวณหรือยกเทียบ
เน้นที่เส้นรอบวงภายนอกของยาง ต้องใกล้เคียงยาง มาตรฐานที่ติดมาจากโรงงานที่สุด ถ้ายางที่เปลี่ยนใหม่มีเส้นรอบวงมากขึ้น อัตราเร่งจะอืด มาตรวัดความเร็วจะแสดงผลน้อยกว่าความเร็วจริง (ไมล์แข็ง)
ถ้ายางที่เปลี่ยนใหม่มีเส้นรอบวงน้อยลง อัตราเร่งจะดี แต่จะได้ระยะทางต่อเกียร์น้อยลง เพราะล้อหมุนแต่ละรอบได้ระยะทางสั้นลง มาตรวัดความเร็วจะแสดงผลมากกว่าความเร็วจริง (ไมล์อ่อน)
ยางขอบ 17 นิ้ว ไม่แน่ว่าจะมีเส้นรอบวงมากกว่ายางขอบ 15 น17 หรือ 18 นิ้ว ซีรีส์ต่ำแก้มเตี้ยบางเฉียบก็มี
มี 2 วิธีสำหรับการเลือกขนาดยาง
1. คำนวณตามสูตรหารัศมี เส้นผ่าศูนย์กลาง และเส้นรอบวง แม้ไม่ยาก แต่ก็ยุ่งสำหรับหลายคน
2. หลายคนจำสูตรคำนวณไม่ได้ และไม่อยากยุ่งยาก ก็ไม่ต้องคำนวณให้งง
สนใจจะเปลี่ยนเป็นยางขนาดใดก็ให้ยกเทียบ ถ้าจะให้แม่นยำต้องใส่ยางเข้ากับกระทะล้อและสูบลมสัก 30 ปอนด์ฯ จึงยกเทียบ แต่ถ้าไม่สะดวกเพราะทางร้านไม่ยอมทำให้ แค่ยกเฉพาะยางเปล่าๆ มาตั้งเทียบกับยางเดิมก็พอทราบ
เมื่อยกเทียบความสูงโดยรวม (ไม่ใช่แค่แก้ม) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเส้นรอบวง ถ้ามีความสูงแตกต่างกันเล็กน้อยก็พอรับได้ เช่น
ยางใหม่เตี้ยกว่าเดิมไม่เกิน 1 เซนติเมตร เมื่อใส่เข้ากับรถยนต์ รัศมีจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร หรือรถยนต์สูงขึ้นไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร
ยางใหม่สูงขึ้นไม่เกิน 2 เซนติเมตร เมื่อใส่เข้ากับรถยนต์ รัศมีจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร หรือรถ ยนต์สูงขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร
กรณีเปลี่ยนล้อแม็กวงโตขึ้นตามสูตร +2 นิ้ว เมื่อจะเลือกยางก็มักพบว่ายางจะมีขนาดใกล้เคียงเดิมหรือสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งถือว่าดีกว่าเตี้ยลง เพราะถ้าเตี้ยลง ระยะห่างระหว่างยางกับขอบบังโคลนจะมีมากขึ้นจนดูไม่สวย (ยางเดิมก็ห่างมากอยู่แล้ว) เลือกยางใหม่ให้มีความ สูงพอๆ กับยางเดิม หรือสูงขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร ถือว่าลงตัว
ส่วนความกว้างของยาง ถ้าไม่ได้เน้นรีดแรงม้าลงพื้น ด้วยเครื่องยนต์หลายร้อยแรงม้า ไม่เน้นความสวยแบบดุดันด้วยล้อแม็กและยางกว้างๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ขอสวยแค่พอประมาณ และกังวลกับเรื่องความอืด หรือกลัวช่วงล่างพังเร็ว ก็ให้เลือกยางที่มีความกว้างน้อยที่สุดเท่าที่มีและใส่กับล้อแม็กวงนั้นได้ อย่างเหมาะสม
เช่น ล้อแม็กใส่ยางกว้าง 215 หรือ 225 มิลลิเมตรก็ได้ ควรเลือกยางขนาด 215 มิลลิเมตร แต่ถ้าอยากสวยแบบดุๆ และยอมรับข้อเสียได้ก็เลือกให้กว้างสุดๆ เท่าที่จะใส่ได้โดยไม่ติดขัด
คดง่ายไหม
หลายคนกังวลเมื่อจะเปลี่ยนล้อแม็กวงโต เหมารวมว่าล้อแม็กที่มีขนาดตัวเลขมาก เช่น 17 นิ้ว จะคดง่าย กว่าตัวเลขน้อย เช่น 16 หรือ 15 นิ้ว
ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของวัสดุที่นำมาผลิต ขบวน การผลิต รูปแบบและขนาดของก้านล้อแม็ก
สรุปง่ายๆ คือ ล้อแม็กขอบ 16 นิ้วเนื้อนิ่มหรือก้านบางเล็ก อาจคดง่ายหรือเปราะกว่าล้อแม็กขอบ 17 นิ้วเนื้อแข็งหรือก้านหนาก็เป็นได้ จะคดง่ายหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับหลายส่วนประกอบ ไม่ใช่แค่ขนาดของล้อแม็กว่า เป็นกี่นิ้ว ดังนั้นหากมีโอกาสก็ควรสนใจคุณภาพและความหนาบางของก้านล้อแม็กไว้ด้วย
อัตราเร่งอืดไหม ?
หลายคนรีบมองว่าเมื่อใส่ล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว จะต้องอืดกว่าเมื่อใส่ขอบ 15 นิ้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจริง แต่ไม่ใช่ความจริงเสมอไป เพราะถ้าล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว มีเนื้อแน่น วัสดุแข็งแรง ทำให้ผลิตได้บาง ก้านบาง ยางแก้มเตี้ย และไม่กว้างมาก เส้นรอบวงโดยรวมและน้ำหนักรวมพอๆ กับตอนใช้ล้อแม็กขอบ 15 นิ้ว อัตราเร่งก็อืดลงนิดเดียวเพราะความกว้างของยางที่มากขึ้น
ล้อแม็กวงโตคุณภาพดี + ยางแก้มเตี้ย
หลายชุดพบว่ามีน้ำหนักรวมแทบไม่ต่างจากล้อแม็ก วงเล็กเดิมๆ เลย โดยส่วนใหญ่ที่ทำให้อัตราเร่งอืดลง เป็นเพราะล้อแม็กวงโตใช้วัสดุไม่ดี จึงต้องทำให้หนาและก้านโตหนาไว้ก่อน น้ำหนักโดยรวมจึงมากขึ้น เมื่อบวกกับยางที่กว้างขึ้น ก็จึงทำให้อัตราเร่งอืดลงจนสัมผัสได้
การเลือกล้อแม็ก ถ้าสนใจเรื่องอัตราเร่งก็ควรเลือกทั้งเส้นรอบวงโดยรวม น้ำหนัก และความกว้างของยางให้ใกล้เคียงเดิม
ใส่แล้วช่วงล่างพังไหม ?
เป็นคำถามยอดนิยม ซึ่งมีคำตอบ คือ อายุสั้นลงบ้าง แต่ไม่ได้สั้นลงมาก และไม่ได้พังในทันที พิสูจน์ได้จากรถยนต์หลายรุ่น ที่มีหลายรุ่นย่อย ซึ่งใช้ล้อและยางต่างขนาดกัน ตั้งแต่ล้อวงเล็กในรุ่นพื้นฐาน ไปจนถึงวงโต ในรุ่นพลังแรง ก็แทบไม่พบว่ามีการใช้ลูกหมาก บู๊ช และลูกปืนล้อต่างรุ่นกันเลย
ดังนั้นจึงสามารถสบายใจได้ว่า อายุการใช้งานของ ช่วงล่างที่ใส่ล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ยจะสั้นลงบ้างเท่านั้น และถ้ามีน้ำหนักรวมไม่ต่างจากเดิมมากและยางไม่ กว้างนัก ก็ยิ่งแทบไม่ลดทอนอายุของช่วงล่างเลย ขนาดตามตัวเลขไม่ใช่ผลกระทบหลัก แต่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักรวมและความกว้างของยางมากกว่า
หลายเรื่องของล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ย เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา เพราะการมองอย่างผิวเผิน หากมองลึกสักหน่อยก็จะเข้าใจได้ดีขึ้น
ป้ายกำกับ:
ขับรถ,
ดูแลรถ,
ดูแลรักษารถยนต์,
รถแพง,
รถหรู
ระวังถูกหลอก อู่ ช่าง
นอกจากเสียเงินซื้อรถแล้ว ยังต้อง เสียต่อทั้งเติมน้ำมัน และซ่อมต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เรียนรู้ให้เท่าทันลูกเล่น เล่ห์เหลี่ยม กลโกง ของเซลส์ อู่ และช่าง ที่จ้องจะดึงเงินออกจากกระ เป๋าคุณ
ธุรกิจ และการค้าขาย เกี่ยวข้องโดยตรงกับความซื่อสัตย์หรือคุณธรรม หลายอาชีพ ต้องมีลูกล่อลูกชนในการค้าขาย เช่น เซลส์หรือพนักงานขายรถ หรือบางอาชีพ ง่ายต่อการ โกงด้วยสารพัดเล่ห์เหลี่ยม เช่น อู่ หรือช่าง
บทความ นี้รวบรวมลูกเล่น เล่ห์เหลี่ยม กล โกงเซลส์ อู่ ช่าง และเน้นว่าไม่ใช่ทุกคน ทุกอู่ที่ปฏิบัติเหมือนบทความ แต่มีเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนทุกอู่
‘‘ เซลส์-พนักงานขายรถ
แม้ไม่ถือว่าเป็นกลโกง แต่ก็เป็นลูกเล่นหรือลูกล่อลูกชน ที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ ง่ายขึ้น เช่น
- ใกล้ขึ้นราคาแล้วให้รีบซื้อ : ขู่ว่าสัปดาห์ หน้าเดือนหน้าจะขึ้นราคาแล้ว กรณีนี้มีทั้ง จริงหรือไม่จริง ยากที่จะพิสูจน์ได้ เพราะกำหนด การขึ้นราคาจะขึ้นอยู่กับบริษัทหลัก ไม่ใช่ดีลเลอร์ ทั่วไป การติดตามข่าวสารจากสื่อต่างๆ พอช่วยได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครทราบลึก ควรซื้อ เมื่อการเงิน ของตนเองพร้อม หรือมีความจำเป็นในการใช้รถ โดยไม่ต้องสนใจการขู่ว่าจะขึ้น ราคา
- รถใกล้ตกรุ่น แต่บอกว่ารุ่นใหม่อีก นาน : ไม่ว่าเซลส์คนนั้นจะไม่ทราบจริงๆ หรือ ทราบแต่โกหก ก็นับเป็นเรื่องปกติที่จะต้องบอกเช่นนั้น ไม่งั้นก็ระบายสต็อกรุ่นเก่าได้ยาก เราสามารถรู้เท่าทันได้ โดยติดตามข่าวสารจากต่างประเทศและในประเทศตามสื่อต่างๆ เพราะไทยเป็นประเทศเล็กๆ ยังไงก็ต้องเปิดตัวรถรุ่นใหม่ตามตลาดโลก ไม่ได้มีรถรุ่นที่ผลิต ให้เฉพาะ ไทยแน่ๆ
- ของแถมมีราคาแพง : เป็นปกติไปแล้ว ที่จะต้องมีส่วนลดเป็นยอด เงิน หรือ มีของ แถมให้เป็นแรงจูงใจ มักจะมีการบอกราคาของแถมเกินจริงหรือเกินคุณภาพไปมาก ตรวจ สอบได้ไม่ยาก โทรศัพท์สอบถามจากเบอร์โทรศัพท์ตาม หน้าโฆษณาในนิตยสารต่างๆ ที่มีสินค้าเดียว กันจำหน่ายอยู่ เพราะของแถมก็มักจะมาจากร้านประดับยนต์ต่างๆ เหมือนๆ กัน
- อยากได้เร็ว ต้องเสียเงินเพิ่มนอกระ บบ : ตรวจสอบจากโชว์รูมหรือดีลเลอร์ อื่นว่าต้องรอนานจริงหรือเปล่า บางแห่งอาจจะมีสต็อก อยู่พร้อมส่งมอบเลยก็ได้
‘‘ อู่
ลูกค้าส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้ด้านเครื่อง ยนต์กลไกมากนัก และไม่มีโอกาสประกบดูการ ทำงานของช่าง ทั้งไม่มีเวลา จึงต้องเชื่อช่าง อู่ หรือศูนย์บริการ ซึ่งสามารถโกงลูก ค้าได้ง่ายมาก ถ้าขาดคุณธรรมในการทำธุรกิจ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะอู่ทั่วไปที่โกงเท่านั้น บาง ศูนย์บริการก็โกง เพราะศูนย์บริการส่วนใหญ่ก็มีเจ้าของเป็นรายย่อย ไม่ใช่สาขาจากบริษัทรถทำเอง คุณธรรมจึงเกี่ยวข้องกับกรณีนี้อย่างมาก
- เสียน้อย บอกเสียมาก : ในเมื่อไม่มีความรู้เพียงพอ ย่อมจับไม่ได้ จะป้องกัน โดย การให้เอาอะไหล่ชิ้นมาให้ดู ก็ไม่ได้ผล ถ้าอู่จะโกงจริงๆ ก็หาอะไหล่เก่าจากคันอื่นมา ให้ดูก็ได้ อะไหล่เสียๆ เหล่านั้นก็มักจะเลอะๆ เละ ลูกค้าดูผ่านๆ แล้วก็ทิ้ง
- บวกราคาอะไหล่ : ศูนย์บริการไม่ทำ เพราะขายอะไหล่แท้มีราคาตายตัว แต่หลาย อู่มักจะทำกันจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ก่อนมีการบวกราคาอะไหล่ที่อู่จัดซื้อให้เป็น ยอดเงินไม่มาก คิดเพิ่มเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือเป็นค่าเสียเวลา ในการซื้ออะไหล่ เพียงไม่กี่สิบไม่กี่ร้อยบาท แต่ระยะหลังมานี้หลายอู่โลภ มากเห็นว่าได้เงินเพิ่มมาง่ายๆ เพราะ แค่บอกให้ร้านอะไหล่เขียนยอดเงินเพิ่มลงในใบเสร็จ เพื่อให้ลูกค้าดู ก็สามารถเรียกเก็บเงิน ได้สบายๆ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มีเวลาตรวจสอบ หรือคิดว่ามีการบวกราคาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงทำใจได้ ทั้งที่อู่อาจจะบวกราคาไว้หลายสิบเปอร์เซ็นต์หรือหนักข้อถึงขั้นบวกเพิ่ม กว่าเท่า ตัวก็ยังมี เรื่องนี้แก้ไขกันยาก เพราะถ้าจะซื้ออะไหล่ไปเอง ก็ไม่สะดวก เพราะไม่มีความรู้ หรือไม่มีเวลาเพียง พอ และอู่ก็ไม่ค่อยอยากบริการ
‘‘ ศูนย์ซ่อมชื่อดัง
ไม่ใช่ศูนย์ บริการยี่ห้อเดียวกับรถ แต่เป็นศูนย์ซ่อมชื่อดังที่มีหลายสาขา โดยรับ ซ่อม งานด่วน งานเล็ก-ปานกลาง และมักจะมีการขายยางร่วมด้วย
ปัญหาที่พบ บ่อย คือ คุณภาพของช่างที่ขาดความชำนาญ (ในศูนย์บริการหลายแห่ง) การคิดราคาค่าแรงแพง หรือการบวกค่าอะไหล่ที่จัดหามาให้ มีเหมือนกับอู่ทั่วไป นอกจากนั้นยังน่าแปลกที่ระยะหลังพบปัญหาการโกงน้ำมันเครื่อง ทั้งโกงจากในใบเสร็จ หรือ แอบเทออกจากกระป๋องที่เหลือของลูกค้า นำมารวมๆ กัน รายละครึ่งลิตรหรือ 1 ลิตร อย่าคิดว่าเล็กน้อย เพราะน้ำมันเครื่องในปัจจุบันอย่างต่ำๆ ก็ลิตรละ 80-100 บาท วันหนึ่ง แอบโกง 3-4 ลิตร คิดเป็นเงินก็หลายร้อยบาท เดือนหนึ่งก็เป็นหมื่น บาท
‘‘ ร้านยาง
จำเป็นต้องขายยางเก่าเก็บ เพราะบริหารสต็อกไม่ดี หรือขายไม่ดี
แม้ บริษัทยางจะบอกว่า ยางเก่าเก็บไม่เป็นอะไร สามารถเก็บสต็อกได้หลายปี แค่ 2-3 ปี ถือว่ายังนำมาใช้ได้ตามปกติ แต่ในทางปฏิบัติ จริงก็ไม่ควรซื้อยางที่เก็บไว้นานๆ ถ้าผลิตมาไม่เกิน 1 ปี ก็ยิ่งดี
สามารถ ดูสัปดาห์และปีที่ผลิตยางเส้นนั้น ได้จากตัวเลข 4 หลักในวงรีบนแก้มยาง หลัง ตัวย่อ DOT ออกไปไม่ไกล ไม่สามารถลบออกได้ โดยตัวเลข 2 ตัวแรกคือ สัป ดาห์ที่เท่าไรของปี ตัวเลข 2 ตัวหลัง คือ เลข 2 ตัวท้ายของปี ค.ศ. เช่น 2401 คือยางเส้นนั้น ผลิตสัปดาห์ที่ 24 ปี 2001 ยางบางยี่ห้อ ใช้หมึกสีอ่อนปั๊มลมบนแก้มยาง เป็นรูปวงกลมขนาดเล็ก โดยระบุเดือนและปีพ.ศ.ที่ผลิตอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย แต่สามารถลบออกได้
‘‘ รถมือสอง
เต็นท์ รถมือสอง หลายสิบเปอร์เซ็นต์ขาย รถที่มีสภาพไม่ดีจริง มีการย้อมแมว กึ่งหลอกลวง แม้ไม่ใช่ทุกเต็นท์ แต่ก็ทำให้คนส่วนใหญ่ฝังใจกับอาชีพ นี้ว่าต้อง เต็มไปด้วย ความ หลอกลวง และกลับไปชะล่าใจเมื่อไปหาซื้อรถตามบ้านทั่วไป ซื้อรถมือสองจะมีสภาพดี หรือมีความคุ้มค่าหรือไม่ ให้ดูเป็นคันๆ ไป ตรวจสอบ สภาพอย่างละเอียดและทดลองขับ ไม่ว่าจะซื้อจากเต็นท์หรือคนทั่วไป
‘‘ อู่-ร้านแต่งรถ
ทั้งแต่งสวยแต่งแรง ก็อาจจะมีลูกเล่นหรือกลโกงได้
แต่ง สวย เอาของราคาถูกหรือคุณภาพต่ำมาขายในราคาแพง ไต้หวันเป็นประเทศ ที่มีการผลิตของตกแต่งรถในราคาถูกและมีให้เลือก มากมาย ซึ่งมีสารพัดคุณภาพ แต่ส่วนใหญ่แล้ว เน้นราคาถูก แต่คุณภาพต่ำหรือแค่พอใช้ได้เท่านั้น ร้านขายหรือร้าน ตกแต่งรถในไทย หลายร้านปั่นเพิ่มราคาจนสูงลิ่ว เช่น ไฟหรี่ข้างบังโคลนสีขาว ต้นทุน มาคู่ละประมาณ 100 บาท แต่ตั้งราคาขาย 500-800 บาท
แม้ไม่มีโอกาสไปซื้อที่ไต้หวันเอง แต่ก็พอจะหาของแต่งที่มีราคาเหมาะสมกับคุณภาพได้ โดยการตรวจสอบราคาจากหลายๆ แหล่ง พบว่าปัจจุบันนี้แถววรจักร คลองถม สะพานเหล็ก ก็มีของแต่งเหมือนๆ กับตามร้านชื่อดังในราคาถูกกว่ามาก
‘‘ อู่สี
ทั้ง กรณีซ่อมสีหรือทำสีทั้งคัน มีทั้งตกลงว่าจะใช้สียี่ห้อหนึ่ง แล้วกลับไปใช้อีกยี่ห้อหนึ่ง หรือตกลงว่าจะใช้สีแห้งช้า กลับไปใช้สีแห้งเร็ว หรือใช้แค่แลกเกอร์แห้งเร็วเคลือบ
ในกรณีทำสี ทั้งคัน มีการตัดผุไม่หมดจริงๆ โป๊วสีทับไปเลยในบางจุด กว่าจะปูดขึ้น มาก็เกินระยะเวลาการรับประกันไปแล้ว หรือตกลงว่าจะลอกสีทุกจุดพอทำจริง ก็ลอกเพียงบางส่วน การเรียนรู้ให้เท่าทันลูกเล่น เล่ห์เหลี่ยม กลโกง เป็นเรื่องที่หยุดไม่ได้
<
ธุรกิจ และการค้าขาย เกี่ยวข้องโดยตรงกับความซื่อสัตย์หรือคุณธรรม หลายอาชีพ ต้องมีลูกล่อลูกชนในการค้าขาย เช่น เซลส์หรือพนักงานขายรถ หรือบางอาชีพ ง่ายต่อการ โกงด้วยสารพัดเล่ห์เหลี่ยม เช่น อู่ หรือช่าง
บทความ นี้รวบรวมลูกเล่น เล่ห์เหลี่ยม กล โกงเซลส์ อู่ ช่าง และเน้นว่าไม่ใช่ทุกคน ทุกอู่ที่ปฏิบัติเหมือนบทความ แต่มีเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนทุกอู่
‘‘ เซลส์-พนักงานขายรถ
แม้ไม่ถือว่าเป็นกลโกง แต่ก็เป็นลูกเล่นหรือลูกล่อลูกชน ที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ ง่ายขึ้น เช่น
- ใกล้ขึ้นราคาแล้วให้รีบซื้อ : ขู่ว่าสัปดาห์ หน้าเดือนหน้าจะขึ้นราคาแล้ว กรณีนี้มีทั้ง จริงหรือไม่จริง ยากที่จะพิสูจน์ได้ เพราะกำหนด การขึ้นราคาจะขึ้นอยู่กับบริษัทหลัก ไม่ใช่ดีลเลอร์ ทั่วไป การติดตามข่าวสารจากสื่อต่างๆ พอช่วยได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครทราบลึก ควรซื้อ เมื่อการเงิน ของตนเองพร้อม หรือมีความจำเป็นในการใช้รถ โดยไม่ต้องสนใจการขู่ว่าจะขึ้น ราคา
- รถใกล้ตกรุ่น แต่บอกว่ารุ่นใหม่อีก นาน : ไม่ว่าเซลส์คนนั้นจะไม่ทราบจริงๆ หรือ ทราบแต่โกหก ก็นับเป็นเรื่องปกติที่จะต้องบอกเช่นนั้น ไม่งั้นก็ระบายสต็อกรุ่นเก่าได้ยาก เราสามารถรู้เท่าทันได้ โดยติดตามข่าวสารจากต่างประเทศและในประเทศตามสื่อต่างๆ เพราะไทยเป็นประเทศเล็กๆ ยังไงก็ต้องเปิดตัวรถรุ่นใหม่ตามตลาดโลก ไม่ได้มีรถรุ่นที่ผลิต ให้เฉพาะ ไทยแน่ๆ
- ของแถมมีราคาแพง : เป็นปกติไปแล้ว ที่จะต้องมีส่วนลดเป็นยอด เงิน หรือ มีของ แถมให้เป็นแรงจูงใจ มักจะมีการบอกราคาของแถมเกินจริงหรือเกินคุณภาพไปมาก ตรวจ สอบได้ไม่ยาก โทรศัพท์สอบถามจากเบอร์โทรศัพท์ตาม หน้าโฆษณาในนิตยสารต่างๆ ที่มีสินค้าเดียว กันจำหน่ายอยู่ เพราะของแถมก็มักจะมาจากร้านประดับยนต์ต่างๆ เหมือนๆ กัน
- อยากได้เร็ว ต้องเสียเงินเพิ่มนอกระ บบ : ตรวจสอบจากโชว์รูมหรือดีลเลอร์ อื่นว่าต้องรอนานจริงหรือเปล่า บางแห่งอาจจะมีสต็อก อยู่พร้อมส่งมอบเลยก็ได้
‘‘ อู่
ลูกค้าส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้ด้านเครื่อง ยนต์กลไกมากนัก และไม่มีโอกาสประกบดูการ ทำงานของช่าง ทั้งไม่มีเวลา จึงต้องเชื่อช่าง อู่ หรือศูนย์บริการ ซึ่งสามารถโกงลูก ค้าได้ง่ายมาก ถ้าขาดคุณธรรมในการทำธุรกิจ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะอู่ทั่วไปที่โกงเท่านั้น บาง ศูนย์บริการก็โกง เพราะศูนย์บริการส่วนใหญ่ก็มีเจ้าของเป็นรายย่อย ไม่ใช่สาขาจากบริษัทรถทำเอง คุณธรรมจึงเกี่ยวข้องกับกรณีนี้อย่างมาก
- เสียน้อย บอกเสียมาก : ในเมื่อไม่มีความรู้เพียงพอ ย่อมจับไม่ได้ จะป้องกัน โดย การให้เอาอะไหล่ชิ้นมาให้ดู ก็ไม่ได้ผล ถ้าอู่จะโกงจริงๆ ก็หาอะไหล่เก่าจากคันอื่นมา ให้ดูก็ได้ อะไหล่เสียๆ เหล่านั้นก็มักจะเลอะๆ เละ ลูกค้าดูผ่านๆ แล้วก็ทิ้ง
- บวกราคาอะไหล่ : ศูนย์บริการไม่ทำ เพราะขายอะไหล่แท้มีราคาตายตัว แต่หลาย อู่มักจะทำกันจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ก่อนมีการบวกราคาอะไหล่ที่อู่จัดซื้อให้เป็น ยอดเงินไม่มาก คิดเพิ่มเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือเป็นค่าเสียเวลา ในการซื้ออะไหล่ เพียงไม่กี่สิบไม่กี่ร้อยบาท แต่ระยะหลังมานี้หลายอู่โลภ มากเห็นว่าได้เงินเพิ่มมาง่ายๆ เพราะ แค่บอกให้ร้านอะไหล่เขียนยอดเงินเพิ่มลงในใบเสร็จ เพื่อให้ลูกค้าดู ก็สามารถเรียกเก็บเงิน ได้สบายๆ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มีเวลาตรวจสอบ หรือคิดว่ามีการบวกราคาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงทำใจได้ ทั้งที่อู่อาจจะบวกราคาไว้หลายสิบเปอร์เซ็นต์หรือหนักข้อถึงขั้นบวกเพิ่ม กว่าเท่า ตัวก็ยังมี เรื่องนี้แก้ไขกันยาก เพราะถ้าจะซื้ออะไหล่ไปเอง ก็ไม่สะดวก เพราะไม่มีความรู้ หรือไม่มีเวลาเพียง พอ และอู่ก็ไม่ค่อยอยากบริการ
‘‘ ศูนย์ซ่อมชื่อดัง
ไม่ใช่ศูนย์ บริการยี่ห้อเดียวกับรถ แต่เป็นศูนย์ซ่อมชื่อดังที่มีหลายสาขา โดยรับ ซ่อม งานด่วน งานเล็ก-ปานกลาง และมักจะมีการขายยางร่วมด้วย
ปัญหาที่พบ บ่อย คือ คุณภาพของช่างที่ขาดความชำนาญ (ในศูนย์บริการหลายแห่ง) การคิดราคาค่าแรงแพง หรือการบวกค่าอะไหล่ที่จัดหามาให้ มีเหมือนกับอู่ทั่วไป นอกจากนั้นยังน่าแปลกที่ระยะหลังพบปัญหาการโกงน้ำมันเครื่อง ทั้งโกงจากในใบเสร็จ หรือ แอบเทออกจากกระป๋องที่เหลือของลูกค้า นำมารวมๆ กัน รายละครึ่งลิตรหรือ 1 ลิตร อย่าคิดว่าเล็กน้อย เพราะน้ำมันเครื่องในปัจจุบันอย่างต่ำๆ ก็ลิตรละ 80-100 บาท วันหนึ่ง แอบโกง 3-4 ลิตร คิดเป็นเงินก็หลายร้อยบาท เดือนหนึ่งก็เป็นหมื่น บาท
‘‘ ร้านยาง
จำเป็นต้องขายยางเก่าเก็บ เพราะบริหารสต็อกไม่ดี หรือขายไม่ดี
แม้ บริษัทยางจะบอกว่า ยางเก่าเก็บไม่เป็นอะไร สามารถเก็บสต็อกได้หลายปี แค่ 2-3 ปี ถือว่ายังนำมาใช้ได้ตามปกติ แต่ในทางปฏิบัติ จริงก็ไม่ควรซื้อยางที่เก็บไว้นานๆ ถ้าผลิตมาไม่เกิน 1 ปี ก็ยิ่งดี
สามารถ ดูสัปดาห์และปีที่ผลิตยางเส้นนั้น ได้จากตัวเลข 4 หลักในวงรีบนแก้มยาง หลัง ตัวย่อ DOT ออกไปไม่ไกล ไม่สามารถลบออกได้ โดยตัวเลข 2 ตัวแรกคือ สัป ดาห์ที่เท่าไรของปี ตัวเลข 2 ตัวหลัง คือ เลข 2 ตัวท้ายของปี ค.ศ. เช่น 2401 คือยางเส้นนั้น ผลิตสัปดาห์ที่ 24 ปี 2001 ยางบางยี่ห้อ ใช้หมึกสีอ่อนปั๊มลมบนแก้มยาง เป็นรูปวงกลมขนาดเล็ก โดยระบุเดือนและปีพ.ศ.ที่ผลิตอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย แต่สามารถลบออกได้
‘‘ รถมือสอง
เต็นท์ รถมือสอง หลายสิบเปอร์เซ็นต์ขาย รถที่มีสภาพไม่ดีจริง มีการย้อมแมว กึ่งหลอกลวง แม้ไม่ใช่ทุกเต็นท์ แต่ก็ทำให้คนส่วนใหญ่ฝังใจกับอาชีพ นี้ว่าต้อง เต็มไปด้วย ความ หลอกลวง และกลับไปชะล่าใจเมื่อไปหาซื้อรถตามบ้านทั่วไป ซื้อรถมือสองจะมีสภาพดี หรือมีความคุ้มค่าหรือไม่ ให้ดูเป็นคันๆ ไป ตรวจสอบ สภาพอย่างละเอียดและทดลองขับ ไม่ว่าจะซื้อจากเต็นท์หรือคนทั่วไป
‘‘ อู่-ร้านแต่งรถ
ทั้งแต่งสวยแต่งแรง ก็อาจจะมีลูกเล่นหรือกลโกงได้
แต่ง สวย เอาของราคาถูกหรือคุณภาพต่ำมาขายในราคาแพง ไต้หวันเป็นประเทศ ที่มีการผลิตของตกแต่งรถในราคาถูกและมีให้เลือก มากมาย ซึ่งมีสารพัดคุณภาพ แต่ส่วนใหญ่แล้ว เน้นราคาถูก แต่คุณภาพต่ำหรือแค่พอใช้ได้เท่านั้น ร้านขายหรือร้าน ตกแต่งรถในไทย หลายร้านปั่นเพิ่มราคาจนสูงลิ่ว เช่น ไฟหรี่ข้างบังโคลนสีขาว ต้นทุน มาคู่ละประมาณ 100 บาท แต่ตั้งราคาขาย 500-800 บาท
แม้ไม่มีโอกาสไปซื้อที่ไต้หวันเอง แต่ก็พอจะหาของแต่งที่มีราคาเหมาะสมกับคุณภาพได้ โดยการตรวจสอบราคาจากหลายๆ แหล่ง พบว่าปัจจุบันนี้แถววรจักร คลองถม สะพานเหล็ก ก็มีของแต่งเหมือนๆ กับตามร้านชื่อดังในราคาถูกกว่ามาก
‘‘ อู่สี
ทั้ง กรณีซ่อมสีหรือทำสีทั้งคัน มีทั้งตกลงว่าจะใช้สียี่ห้อหนึ่ง แล้วกลับไปใช้อีกยี่ห้อหนึ่ง หรือตกลงว่าจะใช้สีแห้งช้า กลับไปใช้สีแห้งเร็ว หรือใช้แค่แลกเกอร์แห้งเร็วเคลือบ
ในกรณีทำสี ทั้งคัน มีการตัดผุไม่หมดจริงๆ โป๊วสีทับไปเลยในบางจุด กว่าจะปูดขึ้น มาก็เกินระยะเวลาการรับประกันไปแล้ว หรือตกลงว่าจะลอกสีทุกจุดพอทำจริง ก็ลอกเพียงบางส่วน การเรียนรู้ให้เท่าทันลูกเล่น เล่ห์เหลี่ยม กลโกง เป็นเรื่องที่หยุดไม่ได้
ป้ายกำกับ:
ขับรถ,
ดูแลรถ,
ดูแลรักษารถยนต์,
ประกันรถยนต์,
รถแพง,
อะไหล่รถ
ขับรถให้ถูกท่า ... ช่วยรักษาแผ่นหลัง
ในปัจจุบันรถยนต์ถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวันสำหรับมนุษย์ เนื่องจากคนต้องใช้รถยนต์เป็นพาหนะไปทำงาน และด้วย
สภาพปัญหาการจราจรบนท้องถนนในขณะนี้ ทำให้คนต้องใช้เวลาอยู่ในรถเป็นเวลานานมากกว่าปกติ ดังนั้นการนั่งถือว่ามีความสำคัญ
เป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องคำนึงถึงเป็นพิเศษ ว่าเราควรจะนั่งแบบไหน ท่าไหนจึงจะให้ความสะดวกสบายแก่เรามากที่สุดและช่วยรักษาหลัง
ของเราไม่ให้เกิดความผิดปกติขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว หลังคนเราจะมีกระดูกเป็นปล้องๆ เชื่อมต่อระหว่างปล้องด้วย หมอนรองกระดูกที่หลายคนคง
รู้จักกันดี เจ้าหมอนที่ว่านี้เป็นตัวรับแรงที่มากระทบกระทั่ง เป็นทั้งว็อค และสปริงในตัวเดียวกัน และแบ่งเบา
ภาระแรงที่จะไปกระแทกเอาท่อนกระดูกสันหลังไป
ในท่านั่งนั้นเมื่อปรับพนักพิงเอียงไม่เท่ากัน แรงกระทบกระทั่งก็ไม่เท่ากันด้วย ถ้าตั้งพนัก 90 องศาแรงจะสูง
กว่าเอียงพนักลง และการมีตัวดันหลังก็จะยิ่งช่วยลดแรงในหมอนรองกระดูกลงได้ด้วย ถ้ามีแรงมาก ๆ มากดที่
หมอนรองกระดูกบ่อย ๆ ก็จะทำให้ชำรุดสึกหรอเร็วขึ้น และยังทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมาก เกิดอาการเมื่อยล้าเรื้อรัง
ดังนั้นแล้วท่านั่งที่ช่วยถนอมหลังของคุณในการขับรถ คือท่าที่ปรับพนักให้เอียงไปประมาณ 110-120 องศา และมีตัวดันหลังดุนที่หลัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูระยะช่วงแขนถึงพวงมาลัย และระยะช่วงขาของคุณ ให้มีการ
สภาพปัญหาการจราจรบนท้องถนนในขณะนี้ ทำให้คนต้องใช้เวลาอยู่ในรถเป็นเวลานานมากกว่าปกติ ดังนั้นการนั่งถือว่ามีความสำคัญ
เป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องคำนึงถึงเป็นพิเศษ ว่าเราควรจะนั่งแบบไหน ท่าไหนจึงจะให้ความสะดวกสบายแก่เรามากที่สุดและช่วยรักษาหลัง
ของเราไม่ให้เกิดความผิดปกติขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว หลังคนเราจะมีกระดูกเป็นปล้องๆ เชื่อมต่อระหว่างปล้องด้วย หมอนรองกระดูกที่หลายคนคง
รู้จักกันดี เจ้าหมอนที่ว่านี้เป็นตัวรับแรงที่มากระทบกระทั่ง เป็นทั้งว็อค และสปริงในตัวเดียวกัน และแบ่งเบา
ภาระแรงที่จะไปกระแทกเอาท่อนกระดูกสันหลังไป
ในท่านั่งนั้นเมื่อปรับพนักพิงเอียงไม่เท่ากัน แรงกระทบกระทั่งก็ไม่เท่ากันด้วย ถ้าตั้งพนัก 90 องศาแรงจะสูง
กว่าเอียงพนักลง และการมีตัวดันหลังก็จะยิ่งช่วยลดแรงในหมอนรองกระดูกลงได้ด้วย ถ้ามีแรงมาก ๆ มากดที่
หมอนรองกระดูกบ่อย ๆ ก็จะทำให้ชำรุดสึกหรอเร็วขึ้น และยังทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมาก เกิดอาการเมื่อยล้าเรื้อรัง
ดังนั้นแล้วท่านั่งที่ช่วยถนอมหลังของคุณในการขับรถ คือท่าที่ปรับพนักให้เอียงไปประมาณ 110-120 องศา และมีตัวดันหลังดุนที่หลัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูระยะช่วงแขนถึงพวงมาลัย และระยะช่วงขาของคุณ ให้มีการ
มาตรวัด มีเพื่อ...........
หลายต่อหลายครั้งที่เราๆ ท่านๆ ให้ความสำคัญกับชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในเครื่องยนต์จนลืมไปว่ายังมี อุปกรณ์ ส่วนควบอีกหลายๆชิ้นที่ถึงแม้จะไม่ได้เคลื่อนที่ไปมา (ไม่ว่าในทิศทางใด) เหมือนอย่างลูก-ก้าน-ข้อฯลฯแต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่าจะขาดซึ่งการดูแล/ตรวจเช็คได้แต่อย่างใด เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีผลโดยตรงในการขุดรากถอนโคลนแรงม้า-แรง บิด แต่หากว่าขาดการเอาใจใส่เจ้าชิ้นส่วนหน้ามึน (อยู่กับที่ไปวัน ๆ) เหล่านี้ไม่ดีแล้วล่ะก็ม้าจะเยอะซักแค่ไหนก็คงส่งตรง ถึงคุณได้ไม่นานหรอก
แบริ่งทำหน้าที่อะไร
แบริ่งหรือชาฟท์ (ตามที่ช่างนิยมเรียก) ไม่ว่าจะเรียกอะไรมันก็คือชิ้นส่วนเดียวกันนั่นแหละโดยแบริ่งนั้นเป็นการ เรียกทับ ศัพท์จากคำว่า Bearing โดยตรง ในขณะที่ชาฟท์นั้นเป็นชื่อเรียกที่ช่างใช้กัน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับบทความต่อจาก นี้ก็จะขอใช้คำว่าแบริ่งเพียงอย่างเดียว กับภารกิจหลายหลายประการที่แบริ่งต้องรับผิดชอบ ทั้งการทำหน้าที่เป็นเบ้ารอง รับการหมุนตัวของก้านสูบ (แบริ่งข้อก้านสูบหรือชาฟท์ก้าน) และเพลาข้อเหวี่ยง (เมนแบริ่ง, แบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงหรือ ชาฟท์อก)จากแรงถีบที่ส่งต่อกันมาเป็นทอดๆไล่ตั้งแต่ลูกสูบที่เชื่อมต่อกับ ก้านสูบด้วยสลักอีกทีแล้วค่อยส่งต่อมายังเพลา ข้อเหวี่ยงอีกที รวมไปถึงการยักยอกน้ำมันไว้หล่อลื่นเพลาข้อเหวี่ยงและป้องกันความเสียหายจาก การเสียดสีของเพลาข้อ เหวี่ยงกับสิ่งแปลกปลอมที่มั่วนิ่มอยู่ในน้ำมันเครื่อง ที่แม้ว่าจะมีขนาดเล็กเป็น “ไมครอน” ก็ตาม
หลากหลายวัสดุทั้งไส้ในและผิวที่เคลือบ
วัสดุของแบริ่งมีผลต่ออายุการใช้งานของเครื่อง, ความต้านทานต่อการกัดกร่อนของตัวแบริ่ง รวมไปถึงความทนทาน ต่ออาการล้าของโลหะ รวมไปถึงการเคลือบผิวชั้นนอก เพื่อป้องกันการสึกที่จะเกิดกับผิวของตัวแบริ่งอีกทีซึ่งโลหะที่นิยม จับมาเคลือบผิวแบริ่งก็จะเป็นตะกั่วผสมดีบุก,ทองแดงผสมตะกั่วหรือไม่ก็อลูมิ เนียม ส่วนคุณสมบัติจะแตกต่างกันซักเพียง ใด
แบบที่เคลือบด้วยตะกั่วผสมดีบุกหรือที่นิยมเรียกกันว่า White Metal หรือ Babbitt Metal ซึ่งเป็นชื่อเรียกตามชื่อผู้ที่คิดค้น การเคลือบแบริ่งด้วยตะกั่วผสมดีบุกในปี 1839 ซึ่งก็คือ Isaac Babbitt และเป็นการเคลือบที่เก่าแก่ที่สุดแต่ก็ยังมีใช้กันอยู่มา จนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าโลหะชนิดนี้มีคุณสมบัติในการยึดเกาะตัวสูง, ความฝืดต่ำ อีกทั้งยังสามารถรองรับการใช้ งานที่มีความเครียดสูงอย่างเครื่องยนต์ของบรรดา Dragster ที่บริโภคไนโตรมีเทนและแอลกอฮอล์ได้อย่างไร้ปัญหาว่า กันว่าทนความร้อนได้สูงถึง 120 องศาเซลเซียส
แบบที่เคลือบด้วยทองแดงผสมตะกั่ว (หรือ Kelmet Metal) จะโดดเด่นในเรื่องของการต้านทาน ความล้าของเนื้อโลหะ และมีความทนทานสูงกับความแข็งแรงของพื้นผิวที่สูงกว่า Babbitt ถึง 6 เท่า จึงสามารถรักษาอุณหภูมิที่ผิวหน้าของแบริ่ง ให้อยู่ในระดับต่ำได้ดี แต่ให้การยึดเกาะตัวไม่ดีนัก จึงมักนิยมนำมาใช้กับเครื่องยนต์รอบจัดกับความสามารถในการรับผิด ชอบการหมุน 360 องศา อย่างหนักหน่วงรุนแรงของเครื่องตัวแข่ง-ตัวแต่งได้อย่างยอดเยี่ยมและสมบูรณ์ แบบ โดยว่ากัน ว่าชั้นเคลือบลูกผสมนี้จะมีการจัดวางระดับชั้นราวกับชั้นของฟองน้ำยังไงยัง งั้น เท่ากับว่าเป็นการผสมผสานชั้นยอดระ หว่างความแข็งแรงของโลหะทองแดงและคุณสมบัติในการยึดเกาะตัวอย่างสูงของ ตะกั่ว
แบบที่เคลือบด้วยอลูมิเนียมผสม (Aluminium Metal) เป็นการผสม กันระหว่างอลูมิเนียมกับดีบุก ซึ่งหลัก ๆ ก็จะให้คุณสมบัติเช่นเดียวกับ แบบทองแดงผสมตะกั่ว เพียงแค่ความสามารถในการต้านทานการกัด กร่อนนั้นจะสูงกว่า โดยอลูมิเนียมที่เคลือบผิวแบริ่งนั้นจะเกิดอาการผิด รูปร่างน้อยกว่าและยังมีความสามารถในการยึดเกาะตัวสูงอีกด้วยทั้งยัง มีคุณสมบัติในการรักษาอุณหภูมิที่ผิวหน้าของแบริ่งให้อยู่ในช่วงอุณห ภูมิต่ำได้ดีกว่าทั้ง Babbitt และ Kelmet Metal อีกด้วย
ส่วนความหนาของชั้นที่เคลือบก็จะอยู่ที่ประมาณ 0.01 – 0.02 นิ้วหรือ 0.254 – 0.508 มม. ส่วนถ้าเป็นแบริ่งแต่งก็แล้วแต่ ทาง ผู้ผลิตว่าจะเติมแต่งโลหะลงไปในส่วนผสม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งแบริ่งที่มีความแข็งแรง, ต้านทานการกัดกร่อน-สึก หรอ และ มีความทนทานสูงกว่า รวมไปถึงชนิดของวัสดุที่นำมาใช้ก็จะมากกว่าด้วยเช่นกันอย่างเช่น Race Bearing จาก ACL ที่ประกอบ ไปด้วยโลหะถึง 4 ชนิดเริ่มจากไส้ในทีเป็นเหล็กชุบแข็งเคลือบด้วยทองแดงผสมเพื่อลดอาการล้าตัว ของ แบริ่ง, นิกเกิ้ลและผิวนอกสุดเป็นการผสมผสานระหว่างตะกั่ว-ดีบุก-ทองแดงซึ่งว่ากัน ว่ามันช่วยให้ผิวของแบริ่งเรียบและ ลื่นกว่าแบริ่งธรรมดา, การ ส่งถ่ายความร้อนน้อยกว่า และทีสำคัญคือช่วยผนึกให้แบริ่งยังอยู่กับร่องกับรอยโดยไม่ระเห็จ ออก จาก ร่องนั่นเองหรืออย่างบาง สำนักก็จะเล่นกับโลหะ 3 ชนิดอย่าง CLEVITE 77 กับแบริ่ง Tri-Metal เริ่มจากไส้ในที่ ขึ้นรูปด้วยโลหะ แล้วเสริมปราการอีกชั้น ด้วยทองแดง+ตะกั่ว เพื่อให้สามารถรองรับการหมุนและการกระแทกกระทั้นได้ อย่างไร้ที่ติ ก่อนตบท้ายด้วย Babbitt เป็นชั้นสุดท้าย
แบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงและแบริ่งก้านสูบ
ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรองรับการหมุนตัวของเพลาข้อเหวี่ยงกับเสื้อสูบ โดยยินยอมให้ตัวเองนั้นสึกหรอแทนข้อ ของเพลาข้อเหวี่ยง, เสื้อสูบและประกบกับแบริ่งนั่นเอง ส่วนแบริ่งก้านสูบก็จะประกบอยู่บนข้อที่แขนเพลาข้อเหวี่ยงทำหน้า ที่รองรับการถีบส่งจากก้านสูบ (ผ่านลูกสูบอีกที) มาขับเคลื่อนเพลาข้อเหวี่ยงให้หมุนนั่นเอง ตามข้อมูลนั้นว่ากันว่าเมนแบ ริ่ง เป็นแบริ่งชนิดความฝืด (Friction Bearing) ที่ต้องสึกหรอสูงดังนั้นคุณสมบัติที่สำคัญก็คือจะต้องทนการสึกหรอและมีประ สิทธิภาพในการป้องกันการยึดตัวได้ดี ด้วยเหตุนี้ผิวหน้าของแบริ่งจะต้องทำด้วยโลหะชนิดพิเศษที่เมื่อสัมผัสกับจุด หมุน ของเพลาข้อเหวี่ยงแล้วจะไม่ทำให้ข้อนั้นสึกหรอ (นอกเหนือไปจากการหล่อลื่นด้วยน้ำมันเครื่องตามปกติ) รวมไปถึงการ ประกอบที่จะต้องเผื่อระยะช่องว่างระหว่างแบริ่งกับข้อเพลาข้อเหวี่ยงให้ เหมาะสมด้วย เพื่อให้มีพื้นที่พอที่น้ำมันเครื่องจะ เข้าไปแทรกซึมเพื่อทำการหล่อลื่นให้กับแบริ่งและข้อเพลาข้อเหวี่ยง (ระยะห่างของแต่ละเครื่องไม่เท่ากัน)
แต่นอกจากแบริ่งที่จะทำหน้าที่รับแรงกดจากการเคลื่อนตัวของเพลาข้อเหวี่ยง -ก้านสูบโดยตรงแล้วก็ยังมีน้ำมันเครื่อง ร่วมด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่าระหว่างผิวสัมผัสของแบริ่งกับข้อนั้นมีฟิล์มน้ำมัน เครื่องรับเป็นหน้าเสื่ออยู่ จากนั้นจึงค่อยส่ง ผ่านแรงกดที่ว่าลงสู่แบริ่งอีกที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันหมาย ถึงการเข้าแทรกซึมของตัวน้ำมันเครื่องได้มากน้อยตามไปด้วยนั่นเอง ในกรณีที่ไขน็อตประกับเพลาข้อเหวี่ยงหลวมเกินไป นั่นก็เท่ากับว่าแรงดันของน้ำมันเครื่องจะลดต่ำกว่าปกติ และหากขันแน่นเกินไปก็จะทำให้แรงดันของน้ำมันเครื่องพุ่งสูง ขึ้นตามไปด้วย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายิ่งขันแน่แล้วแรงดันเพิ่มจะเป็นผลดีเหมือนที่แรงดัน สามารถที่จะล่วงผ่านเข้าไปแตะตัวแบริ่ง อย่างที่คิดเพราะต้องไม่ลืมว่าแรงดันกับปริมาตรมักจะสวนทางกันก็จะเท่ากับ ว่าปริมาณของน้ำมันที่เล็ดรอดเข้าไปยังช่อง ว่างนั้นน้อยลงกว่าเดิม แต่กลับกลายเป็นว่าในเครื่องยนต์ยุคใหม่นี้ ได้หันมาเล่นวิธีนั้นกันเกือบทั้งนั้น โดยที่ไม่สร้างความ เสียหายให้กับเครื่องยนต์ดังเช่นแต่ก่อน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าระบบหล่อลื่นได้รับการพัฒนาไปเยอะ รวมไปถึงเทคโนโลยีใน การขึ้นรูปด้วยเครื่องจักรก็แม่นยำและเที่ยงตรงกว่าเดิมเยอะ และถ้าสงสัยว่าสัดส่วนระหว่างระยะห่างของแบริ่งกับข้อเพลา ข้อเหวี่ยงนั้น จะส่งผลต่อปริมาณของน้ำมันยังไง วิเคราะห์กันมาเรียบร้อยแล้วว่าระยะห่างของแบริ่งกับข้อเพลาข้อเหวี่ยง ที่เพิ่มจากสเปค 2 เท่า จะทำให้ปริมาณของน้ำมันที่แทรกตัวเข้าไปในช่องว่างนั้นเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเลยทีเดียว
เส้นผ่านศูนย์กลางและระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อ
เครื่องมือหลัก ๆ ก็จะเป็น Dial Bore Gauge, Micrometer และ Plastigage ซึ่งไม่ว่าจะเป็นช่างระดับไหน หากต้องการความ แม่นยำในส่วนของการประกอบเครื่องยนต์และล่ะก็ ยังไง ๆ ก็ขาดเจ้าเครื่องมือ 3 ชิ้นนี้ไม่ได้โดย Dial Bore Gauge จะใช้ใน การวัดความกลมของประกับแบริ่ง โดยขณะทำการวัดประกับดังกล่าวจะต้องปราศจากแบริ่งใด ๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็ประกบ เข้ากับแคร้งค์หรือก้านสูบก็แล้วแต่ชนิดของแบริ่ง ซึ่งการวัดจะต้องวัด 2 ทิศทาง คือตามยาวและตามขวางจะวัดแค่เพียง ด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด
ในส่วนของ Micrometer ก็จะใช้วัดหาเส้นผ่านศูนย์กลางวงนอกของข้อ ทั้งข้อเพลาข้อเหวี่ยงและข้อก้านสูบ เมื่อได้ค่า แล้วก็จะเอาค่าที่ได้จาก Dial Bore Gauge มาลบออก เช่น ข้อเพลาข้อเหวี่ยงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับ 52 มม. (ค่า สมมติ) ส่วนค่าที่ได้จาก Dial Bore Gauge วัดได้เท่ากับ 57 มม. ก็จะได้ค่าความหนาของแบริ่งเท่ากับ 2.5 มม. ซึ่งมาจาก (57 - 52) ÷ 2 = 2.5 มม. นั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่าได้ความหนาของตัวแบริ่งแล้วจะจบ เพราะยังต้องมีการวัดความโค้งผวินอก ของตัวแบริ่งด้วยอุปกรณ์พิเศษอีกขั้นตอนด้วย จากนั้นก็ประกอบแบริ่งเข้ากับแคร้งค์ (หรือก้านสูบ) แล้วประกบด้วยประกับ ตามมาด้วยแรงขันตามสเป็คโรงงานแล้ววัดความกลมด้วย Dial Bore Gauge อีกรอบ ค่าที่ยินยอมได้จากผู้ผลิตส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ไม่เกิน 0.0002 นิ้ว หรือ 0.00508 มม.
และถ้าข้อเริ่มไม่กลมก็จะต้องนำเอาก้านหรือประกับข้อเหวี่ยงไปเจียใหม่และก็ ไม่ได้จำเป็นว่าแบริ่งที่ประกบกันจะต้อง เป็นไซส์เดียวกันทุกข้อแต่อย่างใด ประเด็นสำคัญมันอยู่ระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อ และถ้าใช้แบริ่งต่างไซส์บนข้อ (หรือ ก้าน) เดียวกัน ก็จะต้องแน่ใจว่าส่วนต่างของความหนาไม่เกิน 0.0005 นิ้ว (0.0127 มม.) แต่เท่าที่ Search ดูการประกอบ เครื่องของสำนักแต่งในต่างประเทศเล่นกับแบริ่งบนข้อเดียวกันแบบคนละไซส์ที่ หนา-บางต่างกันสุด ๆจนไม่น่าจะคู่กันได้ เลยต้องจัดตำแหน่งของแบริ่งที่หนากว่าให้อยู่ด้านบนสำหรับก้านสูบ และด้านล่างสำหรับข้อเพลาข้อเหวี่ยง เพราะตำ แหน่งของแบริ่งดังกล่าวจะเป็นส่วนที่ต้องรับแรงกดนั่นเองและเมื่อติดตั้งแบ ริ่งเสร็จก็จะต้องทำการวัดความกลมของแบริ่ง ด้านในเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมั่นใจด้วยว่าข้อทุกข้อนั้นกลมเกลี้ยงจริง ๆ ไม่ใช่ว่าแบริ่งได้ตามสเป็คที่ต้อง การทุกชิ้น แต่ข้อดันเบี้ยวก็ป่วยการเปล่า รวมไปถึงการปล่อยปละละเลยเรื่องน้ำมันเครื่อง (หรือไส้กรอง) จนอาจทำให้สิ่ง แปลกปลอมอย่างเศษโลหะหรือคราบเขม่าแทรกซึมเข้าไประหว่างข้อกับแบริ่งจนเกิด เป็นการเสียดสีระหว่างโลหะและโล หะโดยปราศจากการปกป้องและหล่อลื่นของชั้นฟิล์มจากน้ำมันเครื่องซึ่งนั่นเท่า กับงานจะเข้าไปในไม่ช้าเพราะฉะนั้นห้าม ละเลยเรื่องน้ำมันเครื่อง (คุณภาพ-การเปลี่ยนถ่าย) กับไส้กรองน้ำมันเครื่องเด็ดขาด
อาจจะค่อนข้างไกลตัวพอสมควร สำหรับการตรวจเช็คแบริ่งหรือชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องเพราะนั่นหมายถึงการ รื้อ-ประกอบเครื่องที่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญ ตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือ เพราะฉะนั้นก็จงยกหน้าที่ให้ กับ ช่างจะดีกว่า แต่ถึงจะลงมือเองไม่ได้ แต่อย่างน้อย ๆ มันยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลยมิใช่หรือ ?
แบริ่งทำหน้าที่อะไร
แบริ่งหรือชาฟท์ (ตามที่ช่างนิยมเรียก) ไม่ว่าจะเรียกอะไรมันก็คือชิ้นส่วนเดียวกันนั่นแหละโดยแบริ่งนั้นเป็นการ เรียกทับ ศัพท์จากคำว่า Bearing โดยตรง ในขณะที่ชาฟท์นั้นเป็นชื่อเรียกที่ช่างใช้กัน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับบทความต่อจาก นี้ก็จะขอใช้คำว่าแบริ่งเพียงอย่างเดียว กับภารกิจหลายหลายประการที่แบริ่งต้องรับผิดชอบ ทั้งการทำหน้าที่เป็นเบ้ารอง รับการหมุนตัวของก้านสูบ (แบริ่งข้อก้านสูบหรือชาฟท์ก้าน) และเพลาข้อเหวี่ยง (เมนแบริ่ง, แบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงหรือ ชาฟท์อก)จากแรงถีบที่ส่งต่อกันมาเป็นทอดๆไล่ตั้งแต่ลูกสูบที่เชื่อมต่อกับ ก้านสูบด้วยสลักอีกทีแล้วค่อยส่งต่อมายังเพลา ข้อเหวี่ยงอีกที รวมไปถึงการยักยอกน้ำมันไว้หล่อลื่นเพลาข้อเหวี่ยงและป้องกันความเสียหายจาก การเสียดสีของเพลาข้อ เหวี่ยงกับสิ่งแปลกปลอมที่มั่วนิ่มอยู่ในน้ำมันเครื่อง ที่แม้ว่าจะมีขนาดเล็กเป็น “ไมครอน” ก็ตาม
หลากหลายวัสดุทั้งไส้ในและผิวที่เคลือบ
วัสดุของแบริ่งมีผลต่ออายุการใช้งานของเครื่อง, ความต้านทานต่อการกัดกร่อนของตัวแบริ่ง รวมไปถึงความทนทาน ต่ออาการล้าของโลหะ รวมไปถึงการเคลือบผิวชั้นนอก เพื่อป้องกันการสึกที่จะเกิดกับผิวของตัวแบริ่งอีกทีซึ่งโลหะที่นิยม จับมาเคลือบผิวแบริ่งก็จะเป็นตะกั่วผสมดีบุก,ทองแดงผสมตะกั่วหรือไม่ก็อลูมิ เนียม ส่วนคุณสมบัติจะแตกต่างกันซักเพียง ใด
แบบที่เคลือบด้วยตะกั่วผสมดีบุกหรือที่นิยมเรียกกันว่า White Metal หรือ Babbitt Metal ซึ่งเป็นชื่อเรียกตามชื่อผู้ที่คิดค้น การเคลือบแบริ่งด้วยตะกั่วผสมดีบุกในปี 1839 ซึ่งก็คือ Isaac Babbitt และเป็นการเคลือบที่เก่าแก่ที่สุดแต่ก็ยังมีใช้กันอยู่มา จนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าโลหะชนิดนี้มีคุณสมบัติในการยึดเกาะตัวสูง, ความฝืดต่ำ อีกทั้งยังสามารถรองรับการใช้ งานที่มีความเครียดสูงอย่างเครื่องยนต์ของบรรดา Dragster ที่บริโภคไนโตรมีเทนและแอลกอฮอล์ได้อย่างไร้ปัญหาว่า กันว่าทนความร้อนได้สูงถึง 120 องศาเซลเซียส
แบบที่เคลือบด้วยทองแดงผสมตะกั่ว (หรือ Kelmet Metal) จะโดดเด่นในเรื่องของการต้านทาน ความล้าของเนื้อโลหะ และมีความทนทานสูงกับความแข็งแรงของพื้นผิวที่สูงกว่า Babbitt ถึง 6 เท่า จึงสามารถรักษาอุณหภูมิที่ผิวหน้าของแบริ่ง ให้อยู่ในระดับต่ำได้ดี แต่ให้การยึดเกาะตัวไม่ดีนัก จึงมักนิยมนำมาใช้กับเครื่องยนต์รอบจัดกับความสามารถในการรับผิด ชอบการหมุน 360 องศา อย่างหนักหน่วงรุนแรงของเครื่องตัวแข่ง-ตัวแต่งได้อย่างยอดเยี่ยมและสมบูรณ์ แบบ โดยว่ากัน ว่าชั้นเคลือบลูกผสมนี้จะมีการจัดวางระดับชั้นราวกับชั้นของฟองน้ำยังไงยัง งั้น เท่ากับว่าเป็นการผสมผสานชั้นยอดระ หว่างความแข็งแรงของโลหะทองแดงและคุณสมบัติในการยึดเกาะตัวอย่างสูงของ ตะกั่ว
แบบที่เคลือบด้วยอลูมิเนียมผสม (Aluminium Metal) เป็นการผสม กันระหว่างอลูมิเนียมกับดีบุก ซึ่งหลัก ๆ ก็จะให้คุณสมบัติเช่นเดียวกับ แบบทองแดงผสมตะกั่ว เพียงแค่ความสามารถในการต้านทานการกัด กร่อนนั้นจะสูงกว่า โดยอลูมิเนียมที่เคลือบผิวแบริ่งนั้นจะเกิดอาการผิด รูปร่างน้อยกว่าและยังมีความสามารถในการยึดเกาะตัวสูงอีกด้วยทั้งยัง มีคุณสมบัติในการรักษาอุณหภูมิที่ผิวหน้าของแบริ่งให้อยู่ในช่วงอุณห ภูมิต่ำได้ดีกว่าทั้ง Babbitt และ Kelmet Metal อีกด้วย
ส่วนความหนาของชั้นที่เคลือบก็จะอยู่ที่ประมาณ 0.01 – 0.02 นิ้วหรือ 0.254 – 0.508 มม. ส่วนถ้าเป็นแบริ่งแต่งก็แล้วแต่ ทาง ผู้ผลิตว่าจะเติมแต่งโลหะลงไปในส่วนผสม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งแบริ่งที่มีความแข็งแรง, ต้านทานการกัดกร่อน-สึก หรอ และ มีความทนทานสูงกว่า รวมไปถึงชนิดของวัสดุที่นำมาใช้ก็จะมากกว่าด้วยเช่นกันอย่างเช่น Race Bearing จาก ACL ที่ประกอบ ไปด้วยโลหะถึง 4 ชนิดเริ่มจากไส้ในทีเป็นเหล็กชุบแข็งเคลือบด้วยทองแดงผสมเพื่อลดอาการล้าตัว ของ แบริ่ง, นิกเกิ้ลและผิวนอกสุดเป็นการผสมผสานระหว่างตะกั่ว-ดีบุก-ทองแดงซึ่งว่ากัน ว่ามันช่วยให้ผิวของแบริ่งเรียบและ ลื่นกว่าแบริ่งธรรมดา, การ ส่งถ่ายความร้อนน้อยกว่า และทีสำคัญคือช่วยผนึกให้แบริ่งยังอยู่กับร่องกับรอยโดยไม่ระเห็จ ออก จาก ร่องนั่นเองหรืออย่างบาง สำนักก็จะเล่นกับโลหะ 3 ชนิดอย่าง CLEVITE 77 กับแบริ่ง Tri-Metal เริ่มจากไส้ในที่ ขึ้นรูปด้วยโลหะ แล้วเสริมปราการอีกชั้น ด้วยทองแดง+ตะกั่ว เพื่อให้สามารถรองรับการหมุนและการกระแทกกระทั้นได้ อย่างไร้ที่ติ ก่อนตบท้ายด้วย Babbitt เป็นชั้นสุดท้าย
แบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงและแบริ่งก้านสูบ
ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรองรับการหมุนตัวของเพลาข้อเหวี่ยงกับเสื้อสูบ โดยยินยอมให้ตัวเองนั้นสึกหรอแทนข้อ ของเพลาข้อเหวี่ยง, เสื้อสูบและประกบกับแบริ่งนั่นเอง ส่วนแบริ่งก้านสูบก็จะประกบอยู่บนข้อที่แขนเพลาข้อเหวี่ยงทำหน้า ที่รองรับการถีบส่งจากก้านสูบ (ผ่านลูกสูบอีกที) มาขับเคลื่อนเพลาข้อเหวี่ยงให้หมุนนั่นเอง ตามข้อมูลนั้นว่ากันว่าเมนแบ ริ่ง เป็นแบริ่งชนิดความฝืด (Friction Bearing) ที่ต้องสึกหรอสูงดังนั้นคุณสมบัติที่สำคัญก็คือจะต้องทนการสึกหรอและมีประ สิทธิภาพในการป้องกันการยึดตัวได้ดี ด้วยเหตุนี้ผิวหน้าของแบริ่งจะต้องทำด้วยโลหะชนิดพิเศษที่เมื่อสัมผัสกับจุด หมุน ของเพลาข้อเหวี่ยงแล้วจะไม่ทำให้ข้อนั้นสึกหรอ (นอกเหนือไปจากการหล่อลื่นด้วยน้ำมันเครื่องตามปกติ) รวมไปถึงการ ประกอบที่จะต้องเผื่อระยะช่องว่างระหว่างแบริ่งกับข้อเพลาข้อเหวี่ยงให้ เหมาะสมด้วย เพื่อให้มีพื้นที่พอที่น้ำมันเครื่องจะ เข้าไปแทรกซึมเพื่อทำการหล่อลื่นให้กับแบริ่งและข้อเพลาข้อเหวี่ยง (ระยะห่างของแต่ละเครื่องไม่เท่ากัน)
แต่นอกจากแบริ่งที่จะทำหน้าที่รับแรงกดจากการเคลื่อนตัวของเพลาข้อเหวี่ยง -ก้านสูบโดยตรงแล้วก็ยังมีน้ำมันเครื่อง ร่วมด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่าระหว่างผิวสัมผัสของแบริ่งกับข้อนั้นมีฟิล์มน้ำมัน เครื่องรับเป็นหน้าเสื่ออยู่ จากนั้นจึงค่อยส่ง ผ่านแรงกดที่ว่าลงสู่แบริ่งอีกที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันหมาย ถึงการเข้าแทรกซึมของตัวน้ำมันเครื่องได้มากน้อยตามไปด้วยนั่นเอง ในกรณีที่ไขน็อตประกับเพลาข้อเหวี่ยงหลวมเกินไป นั่นก็เท่ากับว่าแรงดันของน้ำมันเครื่องจะลดต่ำกว่าปกติ และหากขันแน่นเกินไปก็จะทำให้แรงดันของน้ำมันเครื่องพุ่งสูง ขึ้นตามไปด้วย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายิ่งขันแน่แล้วแรงดันเพิ่มจะเป็นผลดีเหมือนที่แรงดัน สามารถที่จะล่วงผ่านเข้าไปแตะตัวแบริ่ง อย่างที่คิดเพราะต้องไม่ลืมว่าแรงดันกับปริมาตรมักจะสวนทางกันก็จะเท่ากับ ว่าปริมาณของน้ำมันที่เล็ดรอดเข้าไปยังช่อง ว่างนั้นน้อยลงกว่าเดิม แต่กลับกลายเป็นว่าในเครื่องยนต์ยุคใหม่นี้ ได้หันมาเล่นวิธีนั้นกันเกือบทั้งนั้น โดยที่ไม่สร้างความ เสียหายให้กับเครื่องยนต์ดังเช่นแต่ก่อน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าระบบหล่อลื่นได้รับการพัฒนาไปเยอะ รวมไปถึงเทคโนโลยีใน การขึ้นรูปด้วยเครื่องจักรก็แม่นยำและเที่ยงตรงกว่าเดิมเยอะ และถ้าสงสัยว่าสัดส่วนระหว่างระยะห่างของแบริ่งกับข้อเพลา ข้อเหวี่ยงนั้น จะส่งผลต่อปริมาณของน้ำมันยังไง วิเคราะห์กันมาเรียบร้อยแล้วว่าระยะห่างของแบริ่งกับข้อเพลาข้อเหวี่ยง ที่เพิ่มจากสเปค 2 เท่า จะทำให้ปริมาณของน้ำมันที่แทรกตัวเข้าไปในช่องว่างนั้นเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเลยทีเดียว
เส้นผ่านศูนย์กลางและระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อ
เครื่องมือหลัก ๆ ก็จะเป็น Dial Bore Gauge, Micrometer และ Plastigage ซึ่งไม่ว่าจะเป็นช่างระดับไหน หากต้องการความ แม่นยำในส่วนของการประกอบเครื่องยนต์และล่ะก็ ยังไง ๆ ก็ขาดเจ้าเครื่องมือ 3 ชิ้นนี้ไม่ได้โดย Dial Bore Gauge จะใช้ใน การวัดความกลมของประกับแบริ่ง โดยขณะทำการวัดประกับดังกล่าวจะต้องปราศจากแบริ่งใด ๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็ประกบ เข้ากับแคร้งค์หรือก้านสูบก็แล้วแต่ชนิดของแบริ่ง ซึ่งการวัดจะต้องวัด 2 ทิศทาง คือตามยาวและตามขวางจะวัดแค่เพียง ด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด
ในส่วนของ Micrometer ก็จะใช้วัดหาเส้นผ่านศูนย์กลางวงนอกของข้อ ทั้งข้อเพลาข้อเหวี่ยงและข้อก้านสูบ เมื่อได้ค่า แล้วก็จะเอาค่าที่ได้จาก Dial Bore Gauge มาลบออก เช่น ข้อเพลาข้อเหวี่ยงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับ 52 มม. (ค่า สมมติ) ส่วนค่าที่ได้จาก Dial Bore Gauge วัดได้เท่ากับ 57 มม. ก็จะได้ค่าความหนาของแบริ่งเท่ากับ 2.5 มม. ซึ่งมาจาก (57 - 52) ÷ 2 = 2.5 มม. นั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่าได้ความหนาของตัวแบริ่งแล้วจะจบ เพราะยังต้องมีการวัดความโค้งผวินอก ของตัวแบริ่งด้วยอุปกรณ์พิเศษอีกขั้นตอนด้วย จากนั้นก็ประกอบแบริ่งเข้ากับแคร้งค์ (หรือก้านสูบ) แล้วประกบด้วยประกับ ตามมาด้วยแรงขันตามสเป็คโรงงานแล้ววัดความกลมด้วย Dial Bore Gauge อีกรอบ ค่าที่ยินยอมได้จากผู้ผลิตส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ไม่เกิน 0.0002 นิ้ว หรือ 0.00508 มม.
และถ้าข้อเริ่มไม่กลมก็จะต้องนำเอาก้านหรือประกับข้อเหวี่ยงไปเจียใหม่และก็ ไม่ได้จำเป็นว่าแบริ่งที่ประกบกันจะต้อง เป็นไซส์เดียวกันทุกข้อแต่อย่างใด ประเด็นสำคัญมันอยู่ระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อ และถ้าใช้แบริ่งต่างไซส์บนข้อ (หรือ ก้าน) เดียวกัน ก็จะต้องแน่ใจว่าส่วนต่างของความหนาไม่เกิน 0.0005 นิ้ว (0.0127 มม.) แต่เท่าที่ Search ดูการประกอบ เครื่องของสำนักแต่งในต่างประเทศเล่นกับแบริ่งบนข้อเดียวกันแบบคนละไซส์ที่ หนา-บางต่างกันสุด ๆจนไม่น่าจะคู่กันได้ เลยต้องจัดตำแหน่งของแบริ่งที่หนากว่าให้อยู่ด้านบนสำหรับก้านสูบ และด้านล่างสำหรับข้อเพลาข้อเหวี่ยง เพราะตำ แหน่งของแบริ่งดังกล่าวจะเป็นส่วนที่ต้องรับแรงกดนั่นเองและเมื่อติดตั้งแบ ริ่งเสร็จก็จะต้องทำการวัดความกลมของแบริ่ง ด้านในเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมั่นใจด้วยว่าข้อทุกข้อนั้นกลมเกลี้ยงจริง ๆ ไม่ใช่ว่าแบริ่งได้ตามสเป็คที่ต้อง การทุกชิ้น แต่ข้อดันเบี้ยวก็ป่วยการเปล่า รวมไปถึงการปล่อยปละละเลยเรื่องน้ำมันเครื่อง (หรือไส้กรอง) จนอาจทำให้สิ่ง แปลกปลอมอย่างเศษโลหะหรือคราบเขม่าแทรกซึมเข้าไประหว่างข้อกับแบริ่งจนเกิด เป็นการเสียดสีระหว่างโลหะและโล หะโดยปราศจากการปกป้องและหล่อลื่นของชั้นฟิล์มจากน้ำมันเครื่องซึ่งนั่นเท่า กับงานจะเข้าไปในไม่ช้าเพราะฉะนั้นห้าม ละเลยเรื่องน้ำมันเครื่อง (คุณภาพ-การเปลี่ยนถ่าย) กับไส้กรองน้ำมันเครื่องเด็ดขาด
อาจจะค่อนข้างไกลตัวพอสมควร สำหรับการตรวจเช็คแบริ่งหรือชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องเพราะนั่นหมายถึงการ รื้อ-ประกอบเครื่องที่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญ ตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือ เพราะฉะนั้นก็จงยกหน้าที่ให้ กับ ช่างจะดีกว่า แต่ถึงจะลงมือเองไม่ได้ แต่อย่างน้อย ๆ มันยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลยมิใช่หรือ ?
แบริ่ง ส่วนสำคัญ ไม่ควรมองข้าม
หลายต่อหลายครั้งที่เราๆ ท่านๆ ให้ความสำคัญกับชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในเครื่องยนต์จนลืมไปว่ายังมี อุปกรณ์ ส่วนควบอีกหลายๆชิ้นที่ถึงแม้จะไม่ได้เคลื่อนที่ไปมา (ไม่ว่าในทิศทางใด) เหมือนอย่างลูก-ก้าน-ข้อฯลฯแต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่าจะขาดซึ่งการดูแล/ตรวจเช็คได้แต่อย่างใด เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีผลโดยตรงในการขุดรากถอนโคลนแรงม้า-แรง บิด แต่หากว่าขาดการเอาใจใส่เจ้าชิ้นส่วนหน้ามึน (อยู่กับที่ไปวัน ๆ) เหล่านี้ไม่ดีแล้วล่ะก็ม้าจะเยอะซักแค่ไหนก็คงส่งตรง ถึงคุณได้ไม่นานหรอก
แบริ่งทำหน้าที่อะไร
แบริ่งหรือชาฟท์ (ตามที่ช่างนิยมเรียก) ไม่ว่าจะเรียกอะไรมันก็คือชิ้นส่วนเดียวกันนั่นแหละโดยแบริ่งนั้นเป็นการ เรียกทับ ศัพท์จากคำว่า Bearing โดยตรง ในขณะที่ชาฟท์นั้นเป็นชื่อเรียกที่ช่างใช้กัน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับบทความต่อจาก นี้ก็จะขอใช้คำว่าแบริ่งเพียงอย่างเดียว กับภารกิจหลายหลายประการที่แบริ่งต้องรับผิดชอบ ทั้งการทำหน้าที่เป็นเบ้ารอง รับการหมุนตัวของก้านสูบ (แบริ่งข้อก้านสูบหรือชาฟท์ก้าน) และเพลาข้อเหวี่ยง (เมนแบริ่ง, แบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงหรือ ชาฟท์อก)จากแรงถีบที่ส่งต่อกันมาเป็นทอดๆไล่ตั้งแต่ลูกสูบที่เชื่อมต่อกับ ก้านสูบด้วยสลักอีกทีแล้วค่อยส่งต่อมายังเพลา ข้อเหวี่ยงอีกที รวมไปถึงการยักยอกน้ำมันไว้หล่อลื่นเพลาข้อเหวี่ยงและป้องกันความเสียหายจาก การเสียดสีของเพลาข้อ เหวี่ยงกับสิ่งแปลกปลอมที่มั่วนิ่มอยู่ในน้ำมันเครื่อง ที่แม้ว่าจะมีขนาดเล็กเป็น “ไมครอน” ก็ตาม
หลากหลายวัสดุทั้งไส้ในและผิวที่เคลือบ
วัสดุของแบริ่งมีผลต่ออายุการใช้งานของเครื่อง, ความต้านทานต่อการกัดกร่อนของตัวแบริ่ง รวมไปถึงความทนทาน ต่ออาการล้าของโลหะ รวมไปถึงการเคลือบผิวชั้นนอก เพื่อป้องกันการสึกที่จะเกิดกับผิวของตัวแบริ่งอีกทีซึ่งโลหะที่นิยม จับมาเคลือบผิวแบริ่งก็จะเป็นตะกั่วผสมดีบุก,ทองแดงผสมตะกั่วหรือไม่ก็อลูมิ เนียม ส่วนคุณสมบัติจะแตกต่างกันซักเพียง ใด
แบบที่เคลือบด้วยตะกั่วผสมดีบุกหรือที่นิยมเรียกกันว่า White Metal หรือ Babbitt Metal ซึ่งเป็นชื่อเรียกตามชื่อผู้ที่คิดค้น การเคลือบแบริ่งด้วยตะกั่วผสมดีบุกในปี 1839 ซึ่งก็คือ Isaac Babbitt และเป็นการเคลือบที่เก่าแก่ที่สุดแต่ก็ยังมีใช้กันอยู่มา จนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าโลหะชนิดนี้มีคุณสมบัติในการยึดเกาะตัวสูง, ความฝืดต่ำ อีกทั้งยังสามารถรองรับการใช้ งานที่มีความเครียดสูงอย่างเครื่องยนต์ของบรรดา Dragster ที่บริโภคไนโตรมีเทนและแอลกอฮอล์ได้อย่างไร้ปัญหาว่า กันว่าทนความร้อนได้สูงถึง 120 องศาเซลเซียส
แบบที่เคลือบด้วยทองแดงผสมตะกั่ว (หรือ Kelmet Metal) จะโดดเด่นในเรื่องของการต้านทาน ความล้าของเนื้อโลหะ และมีความทนทานสูงกับความแข็งแรงของพื้นผิวที่สูงกว่า Babbitt ถึง 6 เท่า จึงสามารถรักษาอุณหภูมิที่ผิวหน้าของแบริ่ง ให้อยู่ในระดับต่ำได้ดี แต่ให้การยึดเกาะตัวไม่ดีนัก จึงมักนิยมนำมาใช้กับเครื่องยนต์รอบจัดกับความสามารถในการรับผิด ชอบการหมุน 360 องศา อย่างหนักหน่วงรุนแรงของเครื่องตัวแข่ง-ตัวแต่งได้อย่างยอดเยี่ยมและสมบูรณ์ แบบ โดยว่ากัน ว่าชั้นเคลือบลูกผสมนี้จะมีการจัดวางระดับชั้นราวกับชั้นของฟองน้ำยังไงยัง งั้น เท่ากับว่าเป็นการผสมผสานชั้นยอดระ หว่างความแข็งแรงของโลหะทองแดงและคุณสมบัติในการยึดเกาะตัวอย่างสูงของ ตะกั่ว
แบบที่เคลือบด้วยอลูมิเนียมผสม (Aluminium Metal) เป็นการผสม กันระหว่างอลูมิเนียมกับดีบุก ซึ่งหลัก ๆ ก็จะให้คุณสมบัติเช่นเดียวกับ แบบทองแดงผสมตะกั่ว เพียงแค่ความสามารถในการต้านทานการกัด กร่อนนั้นจะสูงกว่า โดยอลูมิเนียมที่เคลือบผิวแบริ่งนั้นจะเกิดอาการผิด รูปร่างน้อยกว่าและยังมีความสามารถในการยึดเกาะตัวสูงอีกด้วยทั้งยัง มีคุณสมบัติในการรักษาอุณหภูมิที่ผิวหน้าของแบริ่งให้อยู่ในช่วงอุณห ภูมิต่ำได้ดีกว่าทั้ง Babbitt และ Kelmet Metal อีกด้วย
ส่วนความหนาของชั้นที่เคลือบก็จะอยู่ที่ประมาณ 0.01 – 0.02 นิ้วหรือ 0.254 – 0.508 มม. ส่วนถ้าเป็นแบริ่งแต่งก็แล้วแต่ ทาง ผู้ผลิตว่าจะเติมแต่งโลหะลงไปในส่วนผสม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งแบริ่งที่มีความแข็งแรง, ต้านทานการกัดกร่อน-สึก หรอ และ มีความทนทานสูงกว่า รวมไปถึงชนิดของวัสดุที่นำมาใช้ก็จะมากกว่าด้วยเช่นกันอย่างเช่น Race Bearing จาก ACL ที่ประกอบ ไปด้วยโลหะถึง 4 ชนิดเริ่มจากไส้ในทีเป็นเหล็กชุบแข็งเคลือบด้วยทองแดงผสมเพื่อลดอาการล้าตัว ของ แบริ่ง, นิกเกิ้ลและผิวนอกสุดเป็นการผสมผสานระหว่างตะกั่ว-ดีบุก-ทองแดงซึ่งว่ากัน ว่ามันช่วยให้ผิวของแบริ่งเรียบและ ลื่นกว่าแบริ่งธรรมดา, การ ส่งถ่ายความร้อนน้อยกว่า และทีสำคัญคือช่วยผนึกให้แบริ่งยังอยู่กับร่องกับรอยโดยไม่ระเห็จ ออก จาก ร่องนั่นเองหรืออย่างบาง สำนักก็จะเล่นกับโลหะ 3 ชนิดอย่าง CLEVITE 77 กับแบริ่ง Tri-Metal เริ่มจากไส้ในที่ ขึ้นรูปด้วยโลหะ แล้วเสริมปราการอีกชั้น ด้วยทองแดง+ตะกั่ว เพื่อให้สามารถรองรับการหมุนและการกระแทกกระทั้นได้ อย่างไร้ที่ติ ก่อนตบท้ายด้วย Babbitt เป็นชั้นสุดท้าย
แบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงและแบริ่งก้านสูบ
ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรองรับการหมุนตัวของเพลาข้อเหวี่ยงกับเสื้อสูบ โดยยินยอมให้ตัวเองนั้นสึกหรอแทนข้อ ของเพลาข้อเหวี่ยง, เสื้อสูบและประกบกับแบริ่งนั่นเอง ส่วนแบริ่งก้านสูบก็จะประกบอยู่บนข้อที่แขนเพลาข้อเหวี่ยงทำหน้า ที่รองรับการถีบส่งจากก้านสูบ (ผ่านลูกสูบอีกที) มาขับเคลื่อนเพลาข้อเหวี่ยงให้หมุนนั่นเอง ตามข้อมูลนั้นว่ากันว่าเมนแบ ริ่ง เป็นแบริ่งชนิดความฝืด (Friction Bearing) ที่ต้องสึกหรอสูงดังนั้นคุณสมบัติที่สำคัญก็คือจะต้องทนการสึกหรอและมีประ สิทธิภาพในการป้องกันการยึดตัวได้ดี ด้วยเหตุนี้ผิวหน้าของแบริ่งจะต้องทำด้วยโลหะชนิดพิเศษที่เมื่อสัมผัสกับจุด หมุน ของเพลาข้อเหวี่ยงแล้วจะไม่ทำให้ข้อนั้นสึกหรอ (นอกเหนือไปจากการหล่อลื่นด้วยน้ำมันเครื่องตามปกติ) รวมไปถึงการ ประกอบที่จะต้องเผื่อระยะช่องว่างระหว่างแบริ่งกับข้อเพลาข้อเหวี่ยงให้ เหมาะสมด้วย เพื่อให้มีพื้นที่พอที่น้ำมันเครื่องจะ เข้าไปแทรกซึมเพื่อทำการหล่อลื่นให้กับแบริ่งและข้อเพลาข้อเหวี่ยง (ระยะห่างของแต่ละเครื่องไม่เท่ากัน)
แต่นอกจากแบริ่งที่จะทำหน้าที่รับแรงกดจากการเคลื่อนตัวของเพลาข้อเหวี่ยง -ก้านสูบโดยตรงแล้วก็ยังมีน้ำมันเครื่อง ร่วมด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่าระหว่างผิวสัมผัสของแบริ่งกับข้อนั้นมีฟิล์มน้ำมัน เครื่องรับเป็นหน้าเสื่ออยู่ จากนั้นจึงค่อยส่ง ผ่านแรงกดที่ว่าลงสู่แบริ่งอีกที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันหมาย ถึงการเข้าแทรกซึมของตัวน้ำมันเครื่องได้มากน้อยตามไปด้วยนั่นเอง ในกรณีที่ไขน็อตประกับเพลาข้อเหวี่ยงหลวมเกินไป นั่นก็เท่ากับว่าแรงดันของน้ำมันเครื่องจะลดต่ำกว่าปกติ และหากขันแน่นเกินไปก็จะทำให้แรงดันของน้ำมันเครื่องพุ่งสูง ขึ้นตามไปด้วย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายิ่งขันแน่แล้วแรงดันเพิ่มจะเป็นผลดีเหมือนที่แรงดัน สามารถที่จะล่วงผ่านเข้าไปแตะตัวแบริ่ง อย่างที่คิดเพราะต้องไม่ลืมว่าแรงดันกับปริมาตรมักจะสวนทางกันก็จะเท่ากับ ว่าปริมาณของน้ำมันที่เล็ดรอดเข้าไปยังช่อง ว่างนั้นน้อยลงกว่าเดิม แต่กลับกลายเป็นว่าในเครื่องยนต์ยุคใหม่นี้ ได้หันมาเล่นวิธีนั้นกันเกือบทั้งนั้น โดยที่ไม่สร้างความ เสียหายให้กับเครื่องยนต์ดังเช่นแต่ก่อน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าระบบหล่อลื่นได้รับการพัฒนาไปเยอะ รวมไปถึงเทคโนโลยีใน การขึ้นรูปด้วยเครื่องจักรก็แม่นยำและเที่ยงตรงกว่าเดิมเยอะ และถ้าสงสัยว่าสัดส่วนระหว่างระยะห่างของแบริ่งกับข้อเพลา ข้อเหวี่ยงนั้น จะส่งผลต่อปริมาณของน้ำมันยังไง วิเคราะห์กันมาเรียบร้อยแล้วว่าระยะห่างของแบริ่งกับข้อเพลาข้อเหวี่ยง ที่เพิ่มจากสเปค 2 เท่า จะทำให้ปริมาณของน้ำมันที่แทรกตัวเข้าไปในช่องว่างนั้นเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเลยทีเดียว
เส้นผ่านศูนย์กลางและระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อ
เครื่องมือหลัก ๆ ก็จะเป็น Dial Bore Gauge, Micrometer และ Plastigage ซึ่งไม่ว่าจะเป็นช่างระดับไหน หากต้องการความ แม่นยำในส่วนของการประกอบเครื่องยนต์และล่ะก็ ยังไง ๆ ก็ขาดเจ้าเครื่องมือ 3 ชิ้นนี้ไม่ได้โดย Dial Bore Gauge จะใช้ใน การวัดความกลมของประกับแบริ่ง โดยขณะทำการวัดประกับดังกล่าวจะต้องปราศจากแบริ่งใด ๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็ประกบ เข้ากับแคร้งค์หรือก้านสูบก็แล้วแต่ชนิดของแบริ่ง ซึ่งการวัดจะต้องวัด 2 ทิศทาง คือตามยาวและตามขวางจะวัดแค่เพียง ด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด
ในส่วนของ Micrometer ก็จะใช้วัดหาเส้นผ่านศูนย์กลางวงนอกของข้อ ทั้งข้อเพลาข้อเหวี่ยงและข้อก้านสูบ เมื่อได้ค่า แล้วก็จะเอาค่าที่ได้จาก Dial Bore Gauge มาลบออก เช่น ข้อเพลาข้อเหวี่ยงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับ 52 มม. (ค่า สมมติ) ส่วนค่าที่ได้จาก Dial Bore Gauge วัดได้เท่ากับ 57 มม. ก็จะได้ค่าความหนาของแบริ่งเท่ากับ 2.5 มม. ซึ่งมาจาก (57 - 52) ÷ 2 = 2.5 มม. นั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่าได้ความหนาของตัวแบริ่งแล้วจะจบ เพราะยังต้องมีการวัดความโค้งผวินอก ของตัวแบริ่งด้วยอุปกรณ์พิเศษอีกขั้นตอนด้วย จากนั้นก็ประกอบแบริ่งเข้ากับแคร้งค์ (หรือก้านสูบ) แล้วประกบด้วยประกับ ตามมาด้วยแรงขันตามสเป็คโรงงานแล้ววัดความกลมด้วย Dial Bore Gauge อีกรอบ ค่าที่ยินยอมได้จากผู้ผลิตส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ไม่เกิน 0.0002 นิ้ว หรือ 0.00508 มม.
และถ้าข้อเริ่มไม่กลมก็จะต้องนำเอาก้านหรือประกับข้อเหวี่ยงไปเจียใหม่และก็ ไม่ได้จำเป็นว่าแบริ่งที่ประกบกันจะต้อง เป็นไซส์เดียวกันทุกข้อแต่อย่างใด ประเด็นสำคัญมันอยู่ระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อ และถ้าใช้แบริ่งต่างไซส์บนข้อ (หรือ ก้าน) เดียวกัน ก็จะต้องแน่ใจว่าส่วนต่างของความหนาไม่เกิน 0.0005 นิ้ว (0.0127 มม.) แต่เท่าที่ Search ดูการประกอบ เครื่องของสำนักแต่งในต่างประเทศเล่นกับแบริ่งบนข้อเดียวกันแบบคนละไซส์ที่ หนา-บางต่างกันสุด ๆจนไม่น่าจะคู่กันได้ เลยต้องจัดตำแหน่งของแบริ่งที่หนากว่าให้อยู่ด้านบนสำหรับก้านสูบ และด้านล่างสำหรับข้อเพลาข้อเหวี่ยง เพราะตำ แหน่งของแบริ่งดังกล่าวจะเป็นส่วนที่ต้องรับแรงกดนั่นเองและเมื่อติดตั้งแบ ริ่งเสร็จก็จะต้องทำการวัดความกลมของแบริ่ง ด้านในเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมั่นใจด้วยว่าข้อทุกข้อนั้นกลมเกลี้ยงจริง ๆ ไม่ใช่ว่าแบริ่งได้ตามสเป็คที่ต้อง การทุกชิ้น แต่ข้อดันเบี้ยวก็ป่วยการเปล่า รวมไปถึงการปล่อยปละละเลยเรื่องน้ำมันเครื่อง (หรือไส้กรอง) จนอาจทำให้สิ่ง แปลกปลอมอย่างเศษโลหะหรือคราบเขม่าแทรกซึมเข้าไประหว่างข้อกับแบริ่งจนเกิด เป็นการเสียดสีระหว่างโลหะและโล หะโดยปราศจากการปกป้องและหล่อลื่นของชั้นฟิล์มจากน้ำมันเครื่องซึ่งนั่นเท่า กับงานจะเข้าไปในไม่ช้าเพราะฉะนั้นห้าม ละเลยเรื่องน้ำมันเครื่อง (คุณภาพ-การเปลี่ยนถ่าย) กับไส้กรองน้ำมันเครื่องเด็ดขาด
อาจจะค่อนข้างไกลตัวพอสมควร สำหรับการตรวจเช็คแบริ่งหรือชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องเพราะนั่นหมายถึงการ รื้อ-ประกอบเครื่องที่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญ ตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือ เพราะฉะนั้นก็จงยกหน้าที่ให้ กับ ช่างจะดีกว่า แต่ถึงจะลงมือเองไม่ได้ แต่อย่างน้อย ๆ มันยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลยมิใช่หรือ ?
แบริ่งทำหน้าที่อะไร
แบริ่งหรือชาฟท์ (ตามที่ช่างนิยมเรียก) ไม่ว่าจะเรียกอะไรมันก็คือชิ้นส่วนเดียวกันนั่นแหละโดยแบริ่งนั้นเป็นการ เรียกทับ ศัพท์จากคำว่า Bearing โดยตรง ในขณะที่ชาฟท์นั้นเป็นชื่อเรียกที่ช่างใช้กัน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับบทความต่อจาก นี้ก็จะขอใช้คำว่าแบริ่งเพียงอย่างเดียว กับภารกิจหลายหลายประการที่แบริ่งต้องรับผิดชอบ ทั้งการทำหน้าที่เป็นเบ้ารอง รับการหมุนตัวของก้านสูบ (แบริ่งข้อก้านสูบหรือชาฟท์ก้าน) และเพลาข้อเหวี่ยง (เมนแบริ่ง, แบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงหรือ ชาฟท์อก)จากแรงถีบที่ส่งต่อกันมาเป็นทอดๆไล่ตั้งแต่ลูกสูบที่เชื่อมต่อกับ ก้านสูบด้วยสลักอีกทีแล้วค่อยส่งต่อมายังเพลา ข้อเหวี่ยงอีกที รวมไปถึงการยักยอกน้ำมันไว้หล่อลื่นเพลาข้อเหวี่ยงและป้องกันความเสียหายจาก การเสียดสีของเพลาข้อ เหวี่ยงกับสิ่งแปลกปลอมที่มั่วนิ่มอยู่ในน้ำมันเครื่อง ที่แม้ว่าจะมีขนาดเล็กเป็น “ไมครอน” ก็ตาม
หลากหลายวัสดุทั้งไส้ในและผิวที่เคลือบ
วัสดุของแบริ่งมีผลต่ออายุการใช้งานของเครื่อง, ความต้านทานต่อการกัดกร่อนของตัวแบริ่ง รวมไปถึงความทนทาน ต่ออาการล้าของโลหะ รวมไปถึงการเคลือบผิวชั้นนอก เพื่อป้องกันการสึกที่จะเกิดกับผิวของตัวแบริ่งอีกทีซึ่งโลหะที่นิยม จับมาเคลือบผิวแบริ่งก็จะเป็นตะกั่วผสมดีบุก,ทองแดงผสมตะกั่วหรือไม่ก็อลูมิ เนียม ส่วนคุณสมบัติจะแตกต่างกันซักเพียง ใด
แบบที่เคลือบด้วยตะกั่วผสมดีบุกหรือที่นิยมเรียกกันว่า White Metal หรือ Babbitt Metal ซึ่งเป็นชื่อเรียกตามชื่อผู้ที่คิดค้น การเคลือบแบริ่งด้วยตะกั่วผสมดีบุกในปี 1839 ซึ่งก็คือ Isaac Babbitt และเป็นการเคลือบที่เก่าแก่ที่สุดแต่ก็ยังมีใช้กันอยู่มา จนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าโลหะชนิดนี้มีคุณสมบัติในการยึดเกาะตัวสูง, ความฝืดต่ำ อีกทั้งยังสามารถรองรับการใช้ งานที่มีความเครียดสูงอย่างเครื่องยนต์ของบรรดา Dragster ที่บริโภคไนโตรมีเทนและแอลกอฮอล์ได้อย่างไร้ปัญหาว่า กันว่าทนความร้อนได้สูงถึง 120 องศาเซลเซียส
แบบที่เคลือบด้วยทองแดงผสมตะกั่ว (หรือ Kelmet Metal) จะโดดเด่นในเรื่องของการต้านทาน ความล้าของเนื้อโลหะ และมีความทนทานสูงกับความแข็งแรงของพื้นผิวที่สูงกว่า Babbitt ถึง 6 เท่า จึงสามารถรักษาอุณหภูมิที่ผิวหน้าของแบริ่ง ให้อยู่ในระดับต่ำได้ดี แต่ให้การยึดเกาะตัวไม่ดีนัก จึงมักนิยมนำมาใช้กับเครื่องยนต์รอบจัดกับความสามารถในการรับผิด ชอบการหมุน 360 องศา อย่างหนักหน่วงรุนแรงของเครื่องตัวแข่ง-ตัวแต่งได้อย่างยอดเยี่ยมและสมบูรณ์ แบบ โดยว่ากัน ว่าชั้นเคลือบลูกผสมนี้จะมีการจัดวางระดับชั้นราวกับชั้นของฟองน้ำยังไงยัง งั้น เท่ากับว่าเป็นการผสมผสานชั้นยอดระ หว่างความแข็งแรงของโลหะทองแดงและคุณสมบัติในการยึดเกาะตัวอย่างสูงของ ตะกั่ว
แบบที่เคลือบด้วยอลูมิเนียมผสม (Aluminium Metal) เป็นการผสม กันระหว่างอลูมิเนียมกับดีบุก ซึ่งหลัก ๆ ก็จะให้คุณสมบัติเช่นเดียวกับ แบบทองแดงผสมตะกั่ว เพียงแค่ความสามารถในการต้านทานการกัด กร่อนนั้นจะสูงกว่า โดยอลูมิเนียมที่เคลือบผิวแบริ่งนั้นจะเกิดอาการผิด รูปร่างน้อยกว่าและยังมีความสามารถในการยึดเกาะตัวสูงอีกด้วยทั้งยัง มีคุณสมบัติในการรักษาอุณหภูมิที่ผิวหน้าของแบริ่งให้อยู่ในช่วงอุณห ภูมิต่ำได้ดีกว่าทั้ง Babbitt และ Kelmet Metal อีกด้วย
ส่วนความหนาของชั้นที่เคลือบก็จะอยู่ที่ประมาณ 0.01 – 0.02 นิ้วหรือ 0.254 – 0.508 มม. ส่วนถ้าเป็นแบริ่งแต่งก็แล้วแต่ ทาง ผู้ผลิตว่าจะเติมแต่งโลหะลงไปในส่วนผสม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งแบริ่งที่มีความแข็งแรง, ต้านทานการกัดกร่อน-สึก หรอ และ มีความทนทานสูงกว่า รวมไปถึงชนิดของวัสดุที่นำมาใช้ก็จะมากกว่าด้วยเช่นกันอย่างเช่น Race Bearing จาก ACL ที่ประกอบ ไปด้วยโลหะถึง 4 ชนิดเริ่มจากไส้ในทีเป็นเหล็กชุบแข็งเคลือบด้วยทองแดงผสมเพื่อลดอาการล้าตัว ของ แบริ่ง, นิกเกิ้ลและผิวนอกสุดเป็นการผสมผสานระหว่างตะกั่ว-ดีบุก-ทองแดงซึ่งว่ากัน ว่ามันช่วยให้ผิวของแบริ่งเรียบและ ลื่นกว่าแบริ่งธรรมดา, การ ส่งถ่ายความร้อนน้อยกว่า และทีสำคัญคือช่วยผนึกให้แบริ่งยังอยู่กับร่องกับรอยโดยไม่ระเห็จ ออก จาก ร่องนั่นเองหรืออย่างบาง สำนักก็จะเล่นกับโลหะ 3 ชนิดอย่าง CLEVITE 77 กับแบริ่ง Tri-Metal เริ่มจากไส้ในที่ ขึ้นรูปด้วยโลหะ แล้วเสริมปราการอีกชั้น ด้วยทองแดง+ตะกั่ว เพื่อให้สามารถรองรับการหมุนและการกระแทกกระทั้นได้ อย่างไร้ที่ติ ก่อนตบท้ายด้วย Babbitt เป็นชั้นสุดท้าย
แบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงและแบริ่งก้านสูบ
ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรองรับการหมุนตัวของเพลาข้อเหวี่ยงกับเสื้อสูบ โดยยินยอมให้ตัวเองนั้นสึกหรอแทนข้อ ของเพลาข้อเหวี่ยง, เสื้อสูบและประกบกับแบริ่งนั่นเอง ส่วนแบริ่งก้านสูบก็จะประกบอยู่บนข้อที่แขนเพลาข้อเหวี่ยงทำหน้า ที่รองรับการถีบส่งจากก้านสูบ (ผ่านลูกสูบอีกที) มาขับเคลื่อนเพลาข้อเหวี่ยงให้หมุนนั่นเอง ตามข้อมูลนั้นว่ากันว่าเมนแบ ริ่ง เป็นแบริ่งชนิดความฝืด (Friction Bearing) ที่ต้องสึกหรอสูงดังนั้นคุณสมบัติที่สำคัญก็คือจะต้องทนการสึกหรอและมีประ สิทธิภาพในการป้องกันการยึดตัวได้ดี ด้วยเหตุนี้ผิวหน้าของแบริ่งจะต้องทำด้วยโลหะชนิดพิเศษที่เมื่อสัมผัสกับจุด หมุน ของเพลาข้อเหวี่ยงแล้วจะไม่ทำให้ข้อนั้นสึกหรอ (นอกเหนือไปจากการหล่อลื่นด้วยน้ำมันเครื่องตามปกติ) รวมไปถึงการ ประกอบที่จะต้องเผื่อระยะช่องว่างระหว่างแบริ่งกับข้อเพลาข้อเหวี่ยงให้ เหมาะสมด้วย เพื่อให้มีพื้นที่พอที่น้ำมันเครื่องจะ เข้าไปแทรกซึมเพื่อทำการหล่อลื่นให้กับแบริ่งและข้อเพลาข้อเหวี่ยง (ระยะห่างของแต่ละเครื่องไม่เท่ากัน)
แต่นอกจากแบริ่งที่จะทำหน้าที่รับแรงกดจากการเคลื่อนตัวของเพลาข้อเหวี่ยง -ก้านสูบโดยตรงแล้วก็ยังมีน้ำมันเครื่อง ร่วมด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่าระหว่างผิวสัมผัสของแบริ่งกับข้อนั้นมีฟิล์มน้ำมัน เครื่องรับเป็นหน้าเสื่ออยู่ จากนั้นจึงค่อยส่ง ผ่านแรงกดที่ว่าลงสู่แบริ่งอีกที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันหมาย ถึงการเข้าแทรกซึมของตัวน้ำมันเครื่องได้มากน้อยตามไปด้วยนั่นเอง ในกรณีที่ไขน็อตประกับเพลาข้อเหวี่ยงหลวมเกินไป นั่นก็เท่ากับว่าแรงดันของน้ำมันเครื่องจะลดต่ำกว่าปกติ และหากขันแน่นเกินไปก็จะทำให้แรงดันของน้ำมันเครื่องพุ่งสูง ขึ้นตามไปด้วย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายิ่งขันแน่แล้วแรงดันเพิ่มจะเป็นผลดีเหมือนที่แรงดัน สามารถที่จะล่วงผ่านเข้าไปแตะตัวแบริ่ง อย่างที่คิดเพราะต้องไม่ลืมว่าแรงดันกับปริมาตรมักจะสวนทางกันก็จะเท่ากับ ว่าปริมาณของน้ำมันที่เล็ดรอดเข้าไปยังช่อง ว่างนั้นน้อยลงกว่าเดิม แต่กลับกลายเป็นว่าในเครื่องยนต์ยุคใหม่นี้ ได้หันมาเล่นวิธีนั้นกันเกือบทั้งนั้น โดยที่ไม่สร้างความ เสียหายให้กับเครื่องยนต์ดังเช่นแต่ก่อน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าระบบหล่อลื่นได้รับการพัฒนาไปเยอะ รวมไปถึงเทคโนโลยีใน การขึ้นรูปด้วยเครื่องจักรก็แม่นยำและเที่ยงตรงกว่าเดิมเยอะ และถ้าสงสัยว่าสัดส่วนระหว่างระยะห่างของแบริ่งกับข้อเพลา ข้อเหวี่ยงนั้น จะส่งผลต่อปริมาณของน้ำมันยังไง วิเคราะห์กันมาเรียบร้อยแล้วว่าระยะห่างของแบริ่งกับข้อเพลาข้อเหวี่ยง ที่เพิ่มจากสเปค 2 เท่า จะทำให้ปริมาณของน้ำมันที่แทรกตัวเข้าไปในช่องว่างนั้นเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเลยทีเดียว
เส้นผ่านศูนย์กลางและระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อ
เครื่องมือหลัก ๆ ก็จะเป็น Dial Bore Gauge, Micrometer และ Plastigage ซึ่งไม่ว่าจะเป็นช่างระดับไหน หากต้องการความ แม่นยำในส่วนของการประกอบเครื่องยนต์และล่ะก็ ยังไง ๆ ก็ขาดเจ้าเครื่องมือ 3 ชิ้นนี้ไม่ได้โดย Dial Bore Gauge จะใช้ใน การวัดความกลมของประกับแบริ่ง โดยขณะทำการวัดประกับดังกล่าวจะต้องปราศจากแบริ่งใด ๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็ประกบ เข้ากับแคร้งค์หรือก้านสูบก็แล้วแต่ชนิดของแบริ่ง ซึ่งการวัดจะต้องวัด 2 ทิศทาง คือตามยาวและตามขวางจะวัดแค่เพียง ด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด
ในส่วนของ Micrometer ก็จะใช้วัดหาเส้นผ่านศูนย์กลางวงนอกของข้อ ทั้งข้อเพลาข้อเหวี่ยงและข้อก้านสูบ เมื่อได้ค่า แล้วก็จะเอาค่าที่ได้จาก Dial Bore Gauge มาลบออก เช่น ข้อเพลาข้อเหวี่ยงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับ 52 มม. (ค่า สมมติ) ส่วนค่าที่ได้จาก Dial Bore Gauge วัดได้เท่ากับ 57 มม. ก็จะได้ค่าความหนาของแบริ่งเท่ากับ 2.5 มม. ซึ่งมาจาก (57 - 52) ÷ 2 = 2.5 มม. นั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่าได้ความหนาของตัวแบริ่งแล้วจะจบ เพราะยังต้องมีการวัดความโค้งผวินอก ของตัวแบริ่งด้วยอุปกรณ์พิเศษอีกขั้นตอนด้วย จากนั้นก็ประกอบแบริ่งเข้ากับแคร้งค์ (หรือก้านสูบ) แล้วประกบด้วยประกับ ตามมาด้วยแรงขันตามสเป็คโรงงานแล้ววัดความกลมด้วย Dial Bore Gauge อีกรอบ ค่าที่ยินยอมได้จากผู้ผลิตส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ไม่เกิน 0.0002 นิ้ว หรือ 0.00508 มม.
และถ้าข้อเริ่มไม่กลมก็จะต้องนำเอาก้านหรือประกับข้อเหวี่ยงไปเจียใหม่และก็ ไม่ได้จำเป็นว่าแบริ่งที่ประกบกันจะต้อง เป็นไซส์เดียวกันทุกข้อแต่อย่างใด ประเด็นสำคัญมันอยู่ระยะห่างระหว่างแบริ่งกับข้อ และถ้าใช้แบริ่งต่างไซส์บนข้อ (หรือ ก้าน) เดียวกัน ก็จะต้องแน่ใจว่าส่วนต่างของความหนาไม่เกิน 0.0005 นิ้ว (0.0127 มม.) แต่เท่าที่ Search ดูการประกอบ เครื่องของสำนักแต่งในต่างประเทศเล่นกับแบริ่งบนข้อเดียวกันแบบคนละไซส์ที่ หนา-บางต่างกันสุด ๆจนไม่น่าจะคู่กันได้ เลยต้องจัดตำแหน่งของแบริ่งที่หนากว่าให้อยู่ด้านบนสำหรับก้านสูบ และด้านล่างสำหรับข้อเพลาข้อเหวี่ยง เพราะตำ แหน่งของแบริ่งดังกล่าวจะเป็นส่วนที่ต้องรับแรงกดนั่นเองและเมื่อติดตั้งแบ ริ่งเสร็จก็จะต้องทำการวัดความกลมของแบริ่ง ด้านในเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมั่นใจด้วยว่าข้อทุกข้อนั้นกลมเกลี้ยงจริง ๆ ไม่ใช่ว่าแบริ่งได้ตามสเป็คที่ต้อง การทุกชิ้น แต่ข้อดันเบี้ยวก็ป่วยการเปล่า รวมไปถึงการปล่อยปละละเลยเรื่องน้ำมันเครื่อง (หรือไส้กรอง) จนอาจทำให้สิ่ง แปลกปลอมอย่างเศษโลหะหรือคราบเขม่าแทรกซึมเข้าไประหว่างข้อกับแบริ่งจนเกิด เป็นการเสียดสีระหว่างโลหะและโล หะโดยปราศจากการปกป้องและหล่อลื่นของชั้นฟิล์มจากน้ำมันเครื่องซึ่งนั่นเท่า กับงานจะเข้าไปในไม่ช้าเพราะฉะนั้นห้าม ละเลยเรื่องน้ำมันเครื่อง (คุณภาพ-การเปลี่ยนถ่าย) กับไส้กรองน้ำมันเครื่องเด็ดขาด
อาจจะค่อนข้างไกลตัวพอสมควร สำหรับการตรวจเช็คแบริ่งหรือชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องเพราะนั่นหมายถึงการ รื้อ-ประกอบเครื่องที่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญ ตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือ เพราะฉะนั้นก็จงยกหน้าที่ให้ กับ ช่างจะดีกว่า แต่ถึงจะลงมือเองไม่ได้ แต่อย่างน้อย ๆ มันยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลยมิใช่หรือ ?
ไม่ต้องรักรถมาก
คนไทยรักรถมากด้วยหลายเหตุผล ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะรถในไทยมีราคาแพงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ และนับเป็นทรัพย์สินมีค่า สามารถขายต่อได้เสมอ แต่ความรักในรถนั้น อย่าให้กลายเป็นความฟุ่มเฟือย หรือถึงขั้นก่ออันตรายแก่ชีวิต
รัก สวย รักงาม รักรถ เคลือบสี ::คนไทยมีความรักสวยรักงามเป็นส่วนหนึ่งของนิสัยพื้นฐานอยู่แล้ว และถ่ายทอดมาถึงรถด้วย หากรถถลอกหรือบุบ มักจะรีบซ่อม รถสกปรกก็ต้องล้างให้สะอาดแวววาว แตกต่างจากหลายประเทศที่ผู้คนใช้รถเป็นพาหนะ บุบบ้างถลอกบ้างก็ใช้ต่อ นานเป็นเดือนกว่าจะล้างสักครั้งไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะดูแลให้รถยนต์สะอาด อยู่เสมอ แต่ก็ควรจ่ายเงินเท่าที่จำเป็น สถานที่บริการล้างรถมีมากมาย
ปัจจุบัน นี้มีการตัดราคากัน เช่น 30-40 บาทต่อการล้าง 1 คันก็หาไม่ยาก แต่ก็ยังมีที่ตั้งราคาไว้แพงๆ แล้วอยู่ได้ เพราะหลายคนคิดว่า ถ้าล้างราคาถูก จะขาดการ ดูแลที่ดี สีรถอาจเป็นรอยขนแมวได้ คิดว่าถ้าล้างแพงๆ แล้วจะดีกว่า นับว่ามีส่วนจริงบ้าง แต่ไม่เสมอไป อย่าดูที่ราคา ให้พิจารณาขณะที่ล้างและเช็ดว่าพนักงานทำอย่างไร พบว่าปัจจุบันนี้มีที่รับล้างรถในราคา 30-40 บาท แต่สะอาดเรียบ ร้อยอยู่ไม่น้อย
การเคลือบสี
แม้โรงงานจะพ่นแลกเกอร์ เคลือบมาแล้ว ซึ่งมีทั้งความทนทานและความเงางาม แต่ก็พบว่าถ้ามีการเคลือบด้วยน้ำยาพิเศษ เพิ่มเติม ความเงางามก็จะเพิ่มขึ้น ดูสวยงามขึ้น และน้ำยาเคลือบสีหลายยี่ห้อก็สามารถเพิ่มความทนทานของสีขึ้นอีกเล็กน้อย การเคลือบสี นับเป็นเรื่องของความพึงพอใจส่วนตัว หลายคนยอมเสียเงิน เพราะชื่นชอบในความสวยงามจึงเป็นช่องทางให้ธุรกิจนี้เติบโต ทั้งขายน้ำยาให้ไปเคลือบเอง หรือเหมารวมค่าบริการเคลือบให้พร้อมสรรพ
โดย มีการปั่นราคาขึ้นสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น สูงเกินคุณภาพ หรือตั้งราคาตามความสำเร็จในการสร้าง ความเชื่อถือ ไม่ใช่ตามต้นทุนที่แท้จริง บางยี่ห้อ เป็นสินค้านำเข้า ต้องเสียค่าขนส่งและภาษีก็จริง แต่ตั้งราคาไว้แพงกว่าในประเทศผู้ผลิตถึง 3-4 เท่าตัว หากสนใจเคลือบสี ควรเลือกด้วยคุณ-สมบัติที่เหมาะสมกับราคา พิจารณากันให้รอบ คอบ เพราะยี่ห้อที่ราคาแพงกว่า ไม่จำเป็นว่าจะต้องดีกว่าเสมอไป ปั่นราคากันจนแพงสุดกู่ก็มีเพียบ
พ่นกันสนิม
รถ ยุคใหม่ล้วนมีการชุบสารป้องกันสนิมจากโรงงานมาเป็นอย่างดีแล้ว ทั้งรถยนต์ราคาถูกและแพง ล้วนผ่านขั้นตอนนี้มาแล้วทั้งนั้น รถหลายยี่ห้อประกาศรับ
ประกันการปลอดสนิม 10 ปี (หรือนานกว่านั้นก็พอมี) จากการใช้งานจริงก็พบว่าเป็นไปตามนั้น รถยนต์รุ่นปี 1993 ใช้งาน มาจนถึงในปี 2003 นี้ ก็ยังไม่เห็นตัวถังผุให้เห็น เลย
หากจะประเมินแบบปลอดภัยไว้ก่อน ตัวเลข 8 ปีสำหรับการปลอดสนิม นับว่าเป็นไปได้แน่ๆ แม้จะไม่ได้พ่นสารกันสนิมเพิ่มเติมก็ไม่มีปัญหา ถ้าอยากจะพ่นสารกันสนิมเพิ่มเติม จึงควร ประเมินว่า จะใช้รถคันนั้นเกิน 8-10 ปีหรือไม่ ถ้าไม่เกิน ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะร้าน รับพ่นสารกันสนิมในปัจจุบันนี้ หลายรายตั้งราคา ตามชื่อเสียง ไม่ใช่คุณภาพที่แท้จริง เช่นเดียวกับการเคลือบสี
รถเกิดอุบัติเหตุ มัวคลำรถ ไม่กลัวโดนซ้ำ
คน ไทยบางคนรักรถมาก อยากให้มีสภาพ ดีสวยงามอยู่ตลอดเวลา บางคนรักยิ่งกว่าคนใกล้ตัวก็ยังมี เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่จึงให้ความ สนใจว่า รถของตนเสียหายมากเพียงไร โดยไม่สนใจว่าขณะนั้นจอดเกะกะการจราจรเพียงใด หรือที่สำคัญ คือ จอดแล้วเสี่ยงต่อการถูกรถคันอื่นมาชนซ้ำหรือไม่ มัวแต่ดู ลูบๆ คลำๆ จุดที่เสียหาย โดยไม่ดูว่า ถ้ามีการชนซ้ำแล้วตนเอง จะถูกอัดก๊อบปี้หรือไม่ !
ผมเคยเห็นรถชนท้ายกัน หลังจากลงสะพานโค้งสู่ทางราบแถวจตุจักร ก็จอดรถ 2 คันคาอยู่อย่างนั้น โดยคนขับรถคันข้างหน้า ลงมานั่ง ลูบๆ คลำๆ กันชนหลังของรถด้วยความเป็น ห่วง โดยมีช่องว่างเหลือระหว่างรถ2 คันสัก 1 ฟุตได้ รถคันอื่นที่ลงมาจากสะพานก็ต้องเบรกหรือแหวกออกไป ผมคิดต่อไปเลยว่า ถ้ารถคันอื่นมาชนซ้ำ เพราะความกระชั้นชิด (ลงสะพานมาแล้วเจอเลย) รถที่จอดอยู่ข้างหลัง ถูกชนกระเด็นขึ้นมาข้างหน้า ก็คงอัดก๊อบปี้ตรงศรีษะของเจ้าของรถคันหน้า ที่กำลังลูบๆ คลำๆ อยู่ และก็คงตายเพราะความ รักรถนั่นเอง
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากยืนยันจะจอดอยู่บนการจราจร เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่มา หรือ กลัวประกันภัยจะไม่จ่าย (ส่วนจะทำให้การจราจร ติดขับเพิ่มขึ้นก็ไม่สน!) ควรให้ความระมัดระวัง กับการถูกชนซ้ำ ทำให้รถเสียหายเพิ่ม และคนโดนชนซ้ำไปด้วย บางคนยอมจอดคาไว้ เพราะเหตุผลข้างต้น แต่โดนชนซ้ำ ประกันจ่าย แต่รถเละจนช้ำ หรือถูกรถคันอื่นชนซ้ำ จนคนเจ็บหรือตาย เพราะมัวแต่ดูสภาพรถหรือเถียงกันอยู่ รถซ่อมได้ เปลี่ยนมือได้ ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่คนตายแล้วไม่ฟื้น
รัก สวย รักงาม รักรถ เคลือบสี ::คนไทยมีความรักสวยรักงามเป็นส่วนหนึ่งของนิสัยพื้นฐานอยู่แล้ว และถ่ายทอดมาถึงรถด้วย หากรถถลอกหรือบุบ มักจะรีบซ่อม รถสกปรกก็ต้องล้างให้สะอาดแวววาว แตกต่างจากหลายประเทศที่ผู้คนใช้รถเป็นพาหนะ บุบบ้างถลอกบ้างก็ใช้ต่อ นานเป็นเดือนกว่าจะล้างสักครั้งไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะดูแลให้รถยนต์สะอาด อยู่เสมอ แต่ก็ควรจ่ายเงินเท่าที่จำเป็น สถานที่บริการล้างรถมีมากมาย
ปัจจุบัน นี้มีการตัดราคากัน เช่น 30-40 บาทต่อการล้าง 1 คันก็หาไม่ยาก แต่ก็ยังมีที่ตั้งราคาไว้แพงๆ แล้วอยู่ได้ เพราะหลายคนคิดว่า ถ้าล้างราคาถูก จะขาดการ ดูแลที่ดี สีรถอาจเป็นรอยขนแมวได้ คิดว่าถ้าล้างแพงๆ แล้วจะดีกว่า นับว่ามีส่วนจริงบ้าง แต่ไม่เสมอไป อย่าดูที่ราคา ให้พิจารณาขณะที่ล้างและเช็ดว่าพนักงานทำอย่างไร พบว่าปัจจุบันนี้มีที่รับล้างรถในราคา 30-40 บาท แต่สะอาดเรียบ ร้อยอยู่ไม่น้อย
การเคลือบสี
แม้โรงงานจะพ่นแลกเกอร์ เคลือบมาแล้ว ซึ่งมีทั้งความทนทานและความเงางาม แต่ก็พบว่าถ้ามีการเคลือบด้วยน้ำยาพิเศษ เพิ่มเติม ความเงางามก็จะเพิ่มขึ้น ดูสวยงามขึ้น และน้ำยาเคลือบสีหลายยี่ห้อก็สามารถเพิ่มความทนทานของสีขึ้นอีกเล็กน้อย การเคลือบสี นับเป็นเรื่องของความพึงพอใจส่วนตัว หลายคนยอมเสียเงิน เพราะชื่นชอบในความสวยงามจึงเป็นช่องทางให้ธุรกิจนี้เติบโต ทั้งขายน้ำยาให้ไปเคลือบเอง หรือเหมารวมค่าบริการเคลือบให้พร้อมสรรพ
โดย มีการปั่นราคาขึ้นสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น สูงเกินคุณภาพ หรือตั้งราคาตามความสำเร็จในการสร้าง ความเชื่อถือ ไม่ใช่ตามต้นทุนที่แท้จริง บางยี่ห้อ เป็นสินค้านำเข้า ต้องเสียค่าขนส่งและภาษีก็จริง แต่ตั้งราคาไว้แพงกว่าในประเทศผู้ผลิตถึง 3-4 เท่าตัว หากสนใจเคลือบสี ควรเลือกด้วยคุณ-สมบัติที่เหมาะสมกับราคา พิจารณากันให้รอบ คอบ เพราะยี่ห้อที่ราคาแพงกว่า ไม่จำเป็นว่าจะต้องดีกว่าเสมอไป ปั่นราคากันจนแพงสุดกู่ก็มีเพียบ
พ่นกันสนิม
รถ ยุคใหม่ล้วนมีการชุบสารป้องกันสนิมจากโรงงานมาเป็นอย่างดีแล้ว ทั้งรถยนต์ราคาถูกและแพง ล้วนผ่านขั้นตอนนี้มาแล้วทั้งนั้น รถหลายยี่ห้อประกาศรับ
ประกันการปลอดสนิม 10 ปี (หรือนานกว่านั้นก็พอมี) จากการใช้งานจริงก็พบว่าเป็นไปตามนั้น รถยนต์รุ่นปี 1993 ใช้งาน มาจนถึงในปี 2003 นี้ ก็ยังไม่เห็นตัวถังผุให้เห็น เลย
หากจะประเมินแบบปลอดภัยไว้ก่อน ตัวเลข 8 ปีสำหรับการปลอดสนิม นับว่าเป็นไปได้แน่ๆ แม้จะไม่ได้พ่นสารกันสนิมเพิ่มเติมก็ไม่มีปัญหา ถ้าอยากจะพ่นสารกันสนิมเพิ่มเติม จึงควร ประเมินว่า จะใช้รถคันนั้นเกิน 8-10 ปีหรือไม่ ถ้าไม่เกิน ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะร้าน รับพ่นสารกันสนิมในปัจจุบันนี้ หลายรายตั้งราคา ตามชื่อเสียง ไม่ใช่คุณภาพที่แท้จริง เช่นเดียวกับการเคลือบสี
รถเกิดอุบัติเหตุ มัวคลำรถ ไม่กลัวโดนซ้ำ
คน ไทยบางคนรักรถมาก อยากให้มีสภาพ ดีสวยงามอยู่ตลอดเวลา บางคนรักยิ่งกว่าคนใกล้ตัวก็ยังมี เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่จึงให้ความ สนใจว่า รถของตนเสียหายมากเพียงไร โดยไม่สนใจว่าขณะนั้นจอดเกะกะการจราจรเพียงใด หรือที่สำคัญ คือ จอดแล้วเสี่ยงต่อการถูกรถคันอื่นมาชนซ้ำหรือไม่ มัวแต่ดู ลูบๆ คลำๆ จุดที่เสียหาย โดยไม่ดูว่า ถ้ามีการชนซ้ำแล้วตนเอง จะถูกอัดก๊อบปี้หรือไม่ !
ผมเคยเห็นรถชนท้ายกัน หลังจากลงสะพานโค้งสู่ทางราบแถวจตุจักร ก็จอดรถ 2 คันคาอยู่อย่างนั้น โดยคนขับรถคันข้างหน้า ลงมานั่ง ลูบๆ คลำๆ กันชนหลังของรถด้วยความเป็น ห่วง โดยมีช่องว่างเหลือระหว่างรถ2 คันสัก 1 ฟุตได้ รถคันอื่นที่ลงมาจากสะพานก็ต้องเบรกหรือแหวกออกไป ผมคิดต่อไปเลยว่า ถ้ารถคันอื่นมาชนซ้ำ เพราะความกระชั้นชิด (ลงสะพานมาแล้วเจอเลย) รถที่จอดอยู่ข้างหลัง ถูกชนกระเด็นขึ้นมาข้างหน้า ก็คงอัดก๊อบปี้ตรงศรีษะของเจ้าของรถคันหน้า ที่กำลังลูบๆ คลำๆ อยู่ และก็คงตายเพราะความ รักรถนั่นเอง
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากยืนยันจะจอดอยู่บนการจราจร เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่มา หรือ กลัวประกันภัยจะไม่จ่าย (ส่วนจะทำให้การจราจร ติดขับเพิ่มขึ้นก็ไม่สน!) ควรให้ความระมัดระวัง กับการถูกชนซ้ำ ทำให้รถเสียหายเพิ่ม และคนโดนชนซ้ำไปด้วย บางคนยอมจอดคาไว้ เพราะเหตุผลข้างต้น แต่โดนชนซ้ำ ประกันจ่าย แต่รถเละจนช้ำ หรือถูกรถคันอื่นชนซ้ำ จนคนเจ็บหรือตาย เพราะมัวแต่ดูสภาพรถหรือเถียงกันอยู่ รถซ่อมได้ เปลี่ยนมือได้ ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่คนตายแล้วไม่ฟื้น
ควรตรวจรถยนต์ส่วนไหนอะไร หลังฝนมา
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ใช้รถมากขึ้น สำหรับขั้นตอนการตรวจและวิธีการตรวจมีอะไรบ้างนั้น และท่านสามารถตรวจสภาพรถของท่านด้วยตัวท่านเองได้ เริ่มกันที่ การตรวจสภาพรถทั่วไป 7 ประการ ดังต่อไปนี้
การตรวจสภาพรถทั่วไปประการแรก คือ การตรวจสภาพความอับชื้นภายในรถ ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน ถ้ามีความอับชื้นอยู่ภายในรถท่าน อย่างน้อยมันจะมีกลิ่นอับภายในรถ ทำให้มลภาวะในห้องโดยสารต้องเสียไป นอกจากนนี้เจ้าพรมปูพื้นจะผุเปื่อยเร็วกว่าปกติ และปัญหาใหญ่ประการสำคัญที่ตามมาก็คือ จะทำให้พื้นรถผุเป็นสนิมเร็วขึ้น
ความอับชื้นมันเข้าไปในรถของท่านได้อย่างไร น้ำเข้ารถของท่านได้หลายทางด้วยกันดังต่อไปนี้คือ
1. เข้าทางกระจก โดยท่านอาจลืมปิดกระจกหรือปิดกระจกไม่สนิทเมื่อฝนตกหนัก ข้อนี้รวมไปถึงรางกระจกชำรุดปิดไม่ได้ แบบนี้ฝนตกก็เปียกแน่ๆ
2. ท่อระบายน้ำของอุปกรณ์เครื่องทำความเย็นภายในรถ คือ ค่อน้ำจากคอยล์เย็นอุดตัน หรือไม่กระชับแน่น จึงทำให้น้ำไหลนองพื้นได้อีกกรณีหนึ่งเช่นกัน
3. พื้นรถผุกร่อนจนมีรอยทะลุ ในกรณีนี้มีปัญหาแน่นอน แค่วิ่งลุยฝนล้อก็จะรีดน้ำสาดเข้าใต้ท้องรถสาดซึมขึ้นมาเปียกพื้นรถเป็นแน่แท้
4. การขับลุยน้ำที่ท่วมสูง บางครั้งสูงกว่าพื้นรถเสียอีก น้ำจึงทะลักเข้ารถจนเปียกหมด
ทั้ง 4 ประการนี้แหล่ะครับเป็นที่มาของการทำให้พรมปูพื้นรถ ใช้มือลูบจับดูความเปียกชื้นของพรมปูพื้นรถ ตรงไหนเปียก ท่านจะทราบได้จากการสัมผัส สำหรับรถที่ไม่มีพรมก็ตรวจด้วยสายตาและการสัมผัสได้เช่นกัน
สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหาจากความเปียกชื้นดังที่กล่าวมาไม่ยากเลย ในวันที่อากาศแจ่มใสจอรถกลางแดดเปิดประตูให้กว้างทุกบานเพื่อให้แสงแดดและ กระแสลมพัดผ่านไล่ความเปียกชื้นและกลิ่นอับไปให้หมด หรือถ้าพรมเปียกมาก เห็นทีจะแห้งในวันเดียวไม่ได้ ก็ให้หาเครื่องเป่าผมไฟฟ้า เอาลมร้อนไล่ความชื้นก็จะร่นเวลาการแห้งของพรมให้เร็ว
ประการที่ 2 การตรวจสภาพการทำงานของมอเตอร์สตาร์ต
การตรวจก็ไม่มีการยุ่งยากอะไรเลย แค่การบิดสวิตซ์ สตาร์ตติดเครื่องยนต์ธรรมดาๆ เพียงแต่ให้สังเกตการทำงานของไดสตาร์ต ถ้าหมุนอืดช้าๆ เสียงอี๊ดๆ ช้ามากก็ใช้ไม่ได้ หรือประเภทมีเสียงดังแซ๊ะๆ ก่อนไดสตาร์ตจะหมุนเร็วและฉุดให้เครื่องติดได้ลักษณะนี้แสดงว่าโรคจากน้ำได้ ฟักตัวและอยู่ในระยะกำเริบแล้ว คือทำให้เกิดฉนวนตามหน้าสัมผัสของสะพานไฟในมอเตอร์สตาร์ต ทำให้กระแสไฟไหลผ่านได้น้อยหรือไหลผ่านไม่ได้เลน ถ้าบิดสวิตซ์แล้วไม่มีเสียงใด ๆทั้งสิ้น
การแก้ไขกรณีนี้ก็ให้ถอดไดสตาร์ตออกมาขัดทำความสะอาด ขุดคอนแทรคของโซฮอยล์ชุดแปลงถ่านและซี่คอมมิวเกเตอร์ด้วยกระดาษทรายให้สะอาด และใส่กลับที่เดิมรับรองถ้าแบตเตอรี่ไฟดีมันจะทำงานได้เช่นปกติ ถ้าท่านเจ้าของรถที่พอจะทำเป็นก็บริการรถท่านเองได้เลย
ประการที่ 3 ของการตรวจรถทั่วไปหลังฤดูฝน คือ ตรวจลูกปืนคลัตซ์
โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งสตาร์ต โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งและสตาร์ตเครื่องอยู่แล้วก็ให้ตรวจสภาพของลูกปืนคลัตซ์ โดยเหยียบคลัตซ์แล้วปล่อย ทำหลายๆ ครั้งแล้วฟังเสียงผิดปกติ ถ้าขณะเหยียบมีเสียงกรี๊ดๆๆ เล็กๆ ถ้าตรวจพบเสียงนี้ต้องรีบนำเข้ารับบริการ ตรวจเปลี่ยนลูกปืนคลัตซ์ มิฉะนั้นจะทำให้หวีคลัตซ์ นิ้วคลัตซ์ หรือที่บางครั้งเรียกว่า "ตีนผี" สึกหรอเสียหายได้ อย่าทำการซ่อมเอง ให้รีบไปใช้บริการที่อู่ สะดวกสบายที่สุด
ประการที่ 4 คือ การตรวจสภาพของการใช้งานเบรกมือ
เพียงทดลองดึงเบรกมือว่าที่ดึงสูงมากผิดปกติหรือเปล่า ที่จริงแค่ 5 แก๊กก็พอ อันนี้เราสามารถปรับสายเบรกมือให้ตึงขึ้นก็จะแก้ปัญหานี้ได้ จากนั้นให้ตรวจสภาพการทำงาน คือหลังจากดึงเบรกมือแล้ว ทดลองออกรถในตำแหน่งเกียร์หนึ่ง ถ้ารถเคลื่อนตัวออกได้แสดงว่าเบรคมือใช้ไม่ได้ ต้องรีบนำเข้าไปแก้ไข เพราะเบรกช่วยให้ท่านสะดวกขณะขับในสภาพการจราจรติดขัดบนคอสะพาน ซึ่งจอดรถในถนนลาดชันและยังช่วยหยุดรถเมื่อเบรคแตกได้อีกด้วย อย่านิ่งนอนใจนะครับถ้าตรวจพบว่ามันใช้การไม่ได้ ให้นำรถเข้าศูนย์บริการเลย สิ่งนี้ก็มีผลมาจากการลุยน้ำในหน้าฝนได้เช่นกัน
ประการที่ 5 การตรวจการทำงานของคลัตซ์ ที่จะแนะนำนี้เป็นวิธีการหนึ่งของการตรวจสภาพการทงานของคลัตซ์ว่าปรกติหรือไม่
ประการแรก ตรวจคลัตซ์ลื่น วิธีการก็ไม่ยาก ดึงเบรกมือขึ้นให้สุด แล้วสตาร์ตเครื่องเข้าเกียร์ในตำแหน่งเกียร์สูงสุด ถ้าเป็นแบบ 5 เกียร์ ก็เข้า เกียร์ 5 ถ้า 4 เกียร์ ก็เข้าเกียร์ 4 แล้วออกรถในเกียร์ดังกล่าว โดยเร่งเครื่องปล่อยคลัตซ์เพื่อให้รถวิ่ง ถ้าผลปรากฎ ออกมาว่ารถไม่ขยับเขยื้อนแต่เครื่องยนต์ไม่ดับ ก็แสดงว่าคลัตซ์ลื่นครับ อีกประการหนึ่งให้ทดลองออกรถตามปกติ เช่น พบว่ารถจะสั่งเมื่อเริ่มออกรถทุกครั้ง หลังจากรถลุยน้ำหรือลุยฝนมา นี่ก็แสดงว่าคลัตซ์ลื่นเช่นกัน อย่างนี้จะต้องนำรถไปปรึกษาช่างแล้วหล่ะ
ประการที่ 6 คือ ตรวจเบรกว่าปัดเป๋กินซ้ายหรือกินขวา การตรวจเบรก
ท่านเองก็ทำได้สบายมาก เพียงหาที่ว่าง หรือถนนว่างเพื่อลองเบรก โดยถนนจะตัดได้ระดับลมยางและดอกยางถูกต้องใกล้เคียงกัน วิธีการตรวจให้ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 40 กม./ชม. ตั้งพวงมาลัยให้ตรงไปข้างหน้า มือไม่ต้องจับพวงมาลัย แล้วเหยียบเบรกทันทีทันใด ถ้ารถปัดเป๋ไปข้างใดข้างหนึ่งก็แสดงว่าระบบเบรกมีปัญหา อาจเกิดจากการติดตายเพราะน้ำเข้า หรือเกิดการรั่วซึมในระบบ กรณีนี้ต้องรีบนำรถเข้าเช็คที่ศูนย์บริการเบรดโดยด่วน อย่าลืมว่า "เบรก คือ ชีวิต"
ประการที่ 7 ซึ่งเป็นประการสุดท้ายของการตรวจสภาพรถทั่วไปของรถหลังฝน คือตรวจระยะฟรีพวงมาลัย
ซึ่งวิธีการตรวจนั้นง่ายมาก ให้ท่านจับพวงมาลัยแล้วออกแรงที่มือเบาๆ หมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายหรือขวาในตำแหน่งระยะฟรี ถ้ารัศมีของระยะฟรีมาก เช่น เป็นครึ่งรอบ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ผู้ขับบังคับรถยาก เพราะในบางคันหมุนพวงมาลัยไปครึ่งรอบหน้ารถจึงจะมีปฏิกริยาตอบสนองเกิดจะ ต้องเลี้ยวอย่างฉับพลันคงจะเลี้ยวไม่ทันผลที่ตามมาคือต้องเฉี่ยวชนกัน "อันตราย" ควรรีบนำรถไปให้อู่ซ่อมบริการ
<
การตรวจสภาพรถทั่วไปประการแรก คือ การตรวจสภาพความอับชื้นภายในรถ ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน ถ้ามีความอับชื้นอยู่ภายในรถท่าน อย่างน้อยมันจะมีกลิ่นอับภายในรถ ทำให้มลภาวะในห้องโดยสารต้องเสียไป นอกจากนนี้เจ้าพรมปูพื้นจะผุเปื่อยเร็วกว่าปกติ และปัญหาใหญ่ประการสำคัญที่ตามมาก็คือ จะทำให้พื้นรถผุเป็นสนิมเร็วขึ้น
ความอับชื้นมันเข้าไปในรถของท่านได้อย่างไร น้ำเข้ารถของท่านได้หลายทางด้วยกันดังต่อไปนี้คือ
1. เข้าทางกระจก โดยท่านอาจลืมปิดกระจกหรือปิดกระจกไม่สนิทเมื่อฝนตกหนัก ข้อนี้รวมไปถึงรางกระจกชำรุดปิดไม่ได้ แบบนี้ฝนตกก็เปียกแน่ๆ
2. ท่อระบายน้ำของอุปกรณ์เครื่องทำความเย็นภายในรถ คือ ค่อน้ำจากคอยล์เย็นอุดตัน หรือไม่กระชับแน่น จึงทำให้น้ำไหลนองพื้นได้อีกกรณีหนึ่งเช่นกัน
3. พื้นรถผุกร่อนจนมีรอยทะลุ ในกรณีนี้มีปัญหาแน่นอน แค่วิ่งลุยฝนล้อก็จะรีดน้ำสาดเข้าใต้ท้องรถสาดซึมขึ้นมาเปียกพื้นรถเป็นแน่แท้
4. การขับลุยน้ำที่ท่วมสูง บางครั้งสูงกว่าพื้นรถเสียอีก น้ำจึงทะลักเข้ารถจนเปียกหมด
ทั้ง 4 ประการนี้แหล่ะครับเป็นที่มาของการทำให้พรมปูพื้นรถ ใช้มือลูบจับดูความเปียกชื้นของพรมปูพื้นรถ ตรงไหนเปียก ท่านจะทราบได้จากการสัมผัส สำหรับรถที่ไม่มีพรมก็ตรวจด้วยสายตาและการสัมผัสได้เช่นกัน
สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหาจากความเปียกชื้นดังที่กล่าวมาไม่ยากเลย ในวันที่อากาศแจ่มใสจอรถกลางแดดเปิดประตูให้กว้างทุกบานเพื่อให้แสงแดดและ กระแสลมพัดผ่านไล่ความเปียกชื้นและกลิ่นอับไปให้หมด หรือถ้าพรมเปียกมาก เห็นทีจะแห้งในวันเดียวไม่ได้ ก็ให้หาเครื่องเป่าผมไฟฟ้า เอาลมร้อนไล่ความชื้นก็จะร่นเวลาการแห้งของพรมให้เร็ว
ประการที่ 2 การตรวจสภาพการทำงานของมอเตอร์สตาร์ต
การตรวจก็ไม่มีการยุ่งยากอะไรเลย แค่การบิดสวิตซ์ สตาร์ตติดเครื่องยนต์ธรรมดาๆ เพียงแต่ให้สังเกตการทำงานของไดสตาร์ต ถ้าหมุนอืดช้าๆ เสียงอี๊ดๆ ช้ามากก็ใช้ไม่ได้ หรือประเภทมีเสียงดังแซ๊ะๆ ก่อนไดสตาร์ตจะหมุนเร็วและฉุดให้เครื่องติดได้ลักษณะนี้แสดงว่าโรคจากน้ำได้ ฟักตัวและอยู่ในระยะกำเริบแล้ว คือทำให้เกิดฉนวนตามหน้าสัมผัสของสะพานไฟในมอเตอร์สตาร์ต ทำให้กระแสไฟไหลผ่านได้น้อยหรือไหลผ่านไม่ได้เลน ถ้าบิดสวิตซ์แล้วไม่มีเสียงใด ๆทั้งสิ้น
การแก้ไขกรณีนี้ก็ให้ถอดไดสตาร์ตออกมาขัดทำความสะอาด ขุดคอนแทรคของโซฮอยล์ชุดแปลงถ่านและซี่คอมมิวเกเตอร์ด้วยกระดาษทรายให้สะอาด และใส่กลับที่เดิมรับรองถ้าแบตเตอรี่ไฟดีมันจะทำงานได้เช่นปกติ ถ้าท่านเจ้าของรถที่พอจะทำเป็นก็บริการรถท่านเองได้เลย
ประการที่ 3 ของการตรวจรถทั่วไปหลังฤดูฝน คือ ตรวจลูกปืนคลัตซ์
โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งสตาร์ต โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งและสตาร์ตเครื่องอยู่แล้วก็ให้ตรวจสภาพของลูกปืนคลัตซ์ โดยเหยียบคลัตซ์แล้วปล่อย ทำหลายๆ ครั้งแล้วฟังเสียงผิดปกติ ถ้าขณะเหยียบมีเสียงกรี๊ดๆๆ เล็กๆ ถ้าตรวจพบเสียงนี้ต้องรีบนำเข้ารับบริการ ตรวจเปลี่ยนลูกปืนคลัตซ์ มิฉะนั้นจะทำให้หวีคลัตซ์ นิ้วคลัตซ์ หรือที่บางครั้งเรียกว่า "ตีนผี" สึกหรอเสียหายได้ อย่าทำการซ่อมเอง ให้รีบไปใช้บริการที่อู่ สะดวกสบายที่สุด
ประการที่ 4 คือ การตรวจสภาพของการใช้งานเบรกมือ
เพียงทดลองดึงเบรกมือว่าที่ดึงสูงมากผิดปกติหรือเปล่า ที่จริงแค่ 5 แก๊กก็พอ อันนี้เราสามารถปรับสายเบรกมือให้ตึงขึ้นก็จะแก้ปัญหานี้ได้ จากนั้นให้ตรวจสภาพการทำงาน คือหลังจากดึงเบรกมือแล้ว ทดลองออกรถในตำแหน่งเกียร์หนึ่ง ถ้ารถเคลื่อนตัวออกได้แสดงว่าเบรคมือใช้ไม่ได้ ต้องรีบนำเข้าไปแก้ไข เพราะเบรกช่วยให้ท่านสะดวกขณะขับในสภาพการจราจรติดขัดบนคอสะพาน ซึ่งจอดรถในถนนลาดชันและยังช่วยหยุดรถเมื่อเบรคแตกได้อีกด้วย อย่านิ่งนอนใจนะครับถ้าตรวจพบว่ามันใช้การไม่ได้ ให้นำรถเข้าศูนย์บริการเลย สิ่งนี้ก็มีผลมาจากการลุยน้ำในหน้าฝนได้เช่นกัน
ประการที่ 5 การตรวจการทำงานของคลัตซ์ ที่จะแนะนำนี้เป็นวิธีการหนึ่งของการตรวจสภาพการทงานของคลัตซ์ว่าปรกติหรือไม่
ประการแรก ตรวจคลัตซ์ลื่น วิธีการก็ไม่ยาก ดึงเบรกมือขึ้นให้สุด แล้วสตาร์ตเครื่องเข้าเกียร์ในตำแหน่งเกียร์สูงสุด ถ้าเป็นแบบ 5 เกียร์ ก็เข้า เกียร์ 5 ถ้า 4 เกียร์ ก็เข้าเกียร์ 4 แล้วออกรถในเกียร์ดังกล่าว โดยเร่งเครื่องปล่อยคลัตซ์เพื่อให้รถวิ่ง ถ้าผลปรากฎ ออกมาว่ารถไม่ขยับเขยื้อนแต่เครื่องยนต์ไม่ดับ ก็แสดงว่าคลัตซ์ลื่นครับ อีกประการหนึ่งให้ทดลองออกรถตามปกติ เช่น พบว่ารถจะสั่งเมื่อเริ่มออกรถทุกครั้ง หลังจากรถลุยน้ำหรือลุยฝนมา นี่ก็แสดงว่าคลัตซ์ลื่นเช่นกัน อย่างนี้จะต้องนำรถไปปรึกษาช่างแล้วหล่ะ
ประการที่ 6 คือ ตรวจเบรกว่าปัดเป๋กินซ้ายหรือกินขวา การตรวจเบรก
ท่านเองก็ทำได้สบายมาก เพียงหาที่ว่าง หรือถนนว่างเพื่อลองเบรก โดยถนนจะตัดได้ระดับลมยางและดอกยางถูกต้องใกล้เคียงกัน วิธีการตรวจให้ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 40 กม./ชม. ตั้งพวงมาลัยให้ตรงไปข้างหน้า มือไม่ต้องจับพวงมาลัย แล้วเหยียบเบรกทันทีทันใด ถ้ารถปัดเป๋ไปข้างใดข้างหนึ่งก็แสดงว่าระบบเบรกมีปัญหา อาจเกิดจากการติดตายเพราะน้ำเข้า หรือเกิดการรั่วซึมในระบบ กรณีนี้ต้องรีบนำรถเข้าเช็คที่ศูนย์บริการเบรดโดยด่วน อย่าลืมว่า "เบรก คือ ชีวิต"
ประการที่ 7 ซึ่งเป็นประการสุดท้ายของการตรวจสภาพรถทั่วไปของรถหลังฝน คือตรวจระยะฟรีพวงมาลัย
ซึ่งวิธีการตรวจนั้นง่ายมาก ให้ท่านจับพวงมาลัยแล้วออกแรงที่มือเบาๆ หมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายหรือขวาในตำแหน่งระยะฟรี ถ้ารัศมีของระยะฟรีมาก เช่น เป็นครึ่งรอบ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ผู้ขับบังคับรถยาก เพราะในบางคันหมุนพวงมาลัยไปครึ่งรอบหน้ารถจึงจะมีปฏิกริยาตอบสนองเกิดจะ ต้องเลี้ยวอย่างฉับพลันคงจะเลี้ยวไม่ทันผลที่ตามมาคือต้องเฉี่ยวชนกัน "อันตราย" ควรรีบนำรถไปให้อู่ซ่อมบริการ
ทำอย่างไร ให้ขับรถปลอดภัย ไร้ปัญหาจากฝนฟ้า ไม่เป็นใจ
1. Shift down GEAR : บนเส้นทางฝน (แม้ยามที่คุณต้องทำความเร็วบนถนนที่เจิ่งนอง) การลดตำแหน่งเกียร์ลงมา “หนึ่งเกียร์” เสมอ นั่นคือ การเพิ่ม “ Traction = การยึดเกาะ “ ให้แก่รถของคุณเสมอ... ลองดูซิ แล้วคุณจะสัมผัสแรง “ ยึดเกาะ “ ที่เพิ่มมากขึ้นในทันที และช่วยเพิ่มความมั่นใจในเส้นทางฟ้าฝน (ในกรณีรถเกียร์ Auto-matic คุณก็ควรลด D ลงมาหนึ่งตำแหน่งเกียร์เช่นกัน
2. ลดลมยาง เพิ่ม “ Groove of tires “ : เป็นเรื่องน่าตกใจ เมื่อคุณได้ทราบว่า “ หน้ายาง “ แต่ละล้อของรถนั้นแตะสัมผัสพื้นผิว เพียง 4 ตารางนิ้ว เท่านั้น ซึ่งนั่นเท่ากับว่า จุดสัมผัสหน้ายางทั้ง 4 ล้อรวมกัน มันสัมผัสพื้นผิวเพียง 16 ตารางนิ้ว ยิ่งต้องตะบึง ไปบนเส้นทางฟ้าฝนด้วยแล้ว การยึดเกาะอาจจะลดลงไปถึงครึ่ง ( โดยเฉพาะบนยางเก่าอายุมาก ๆ ) การลดลมยางมาระหว่าง 2-3 PSI ( ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ) เท่ากับว่าคุณกำลงัเพิ่มหน้ายางเพื่อสัมผัสพื้นถนนได้มากขึ้น วิธีนี้ยิ่งใช้ได้ดี หากคุณต้อง ตะลุยฝนห่าใหญ่ไปนับเป็นชั่วโมง ๆ
3. Aqua-Planning : อาการ “ เหินน้ำ “ นี้สุดแสนจะอันตรายใกล้มัจจุราช ที่แม้แต่แชมป์โลก F1 หรือทีมวิศวกรผู้ผลิตยาง ยังพ่ายมานักต่อนัก อาการนี้จะปรากฏทันทีที่คุณทะยานลงสู่แอ่งน้ำ หรือถนนเจิ่งนองด้วยความเร็ว ยิ่งกับยางที่หน้ากว้าง ๆ ด้วยแล้วอาการ “ เหินน้ำ “ สุดโหดนี้ยิ่งให้ผลชัด ฉะนั้นคิดซะใหม่หากคุณจำไปผิด ๆ ว่ายางหน้ากว้าง ๆ น่าจะเกาะผิวทาง เปียกได้ดีกว่ายางหน้าแคบ เพราะนั่นคุณกำลังเข้าใจผิดอย่างมหันต์
4. Soft Tool : คุณอาจไม่ทราบว่าการทำ “ Soft Tool “ : คุณอาจไม่ทราบว่าการทำ “ Soft Tool “ หรือ “ ฉีดสเปรย์ “ ไล่ความชื้นลงไปล่วงหน้าก่อนที่จะบุกน้ำลุยฝนนั้นถือว่าเป็นการทำที่ชาญฉลาด เพราะขณะที่คุณต้องลุยเข้าไปบน เส้นทางฝนฟ้า แม้รถยนต์ที่ได้ชื่อว่า ไฮ-เทค ก็ไม่อาจจะทนต่อกระแสน้ำที่ซัดมาจากรถใหญ่ ๆ หรือกระบะจอมลุย ที่ไม่เคยบันยะบันยังไปได้การฉีดสเปรย์สารพัดประโยชน์ เพื่อไล่ความชื้นไว้ล่วงหน้า นั่นเท่ากับว่าคุณได้ “ ห่มคลุม “ เครื่องยนต์ และระบบไฟของรถไว้แล้วอย่างมิดชิด ดังนั้นขั้ว “ Batt “ ( และสายดินขั้วลบ ) วงจรจุดระเบิด สายหัวเทียน และทุกขั้วไฟ ( Plug-In ) ทั้งหลายจึงควรได้รับการ “ Soft Tool “ ไว้แต่เนิ่น ๆ ครับ
5. เมื่อรถดับ อย่าเปิดฝากระโปรงทันที ? : เพราะการกระทำเช่นนี้คุณจะเปิดอ้ารับความเปียกชื้นให้เพิ่มทวี เครื่องยนต์ จะสูญเสียความร้อนลงในทันที และคงยากที่ความร้อนระอุภายในจะ “ เผาน้ำ “ ให้ระเหยทิ้งไป การสูญเสียความร้อนใน ห้องเครื่อง และตัวเครื่องยนต์ในทันที เท่ากับเป็นการยากมากขึ้นเพื่อจะสตาร์ตเครื่องยนต์ครั้งต่อไป จะเป็นประโยชน์ กว่าหากให้เวลาเพื่อใช้ความร้อนสะสมภายในไล่น้ำหรือความชื้นภายในลงไปใน ระดับหนึ่งก่อนจึงค่อยสตาร์ตครั้งใหม
6. Left Foot Braking… เลียเบรกด้วยเท้าซ้าย : คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่า จานเบรกอันเย็นฉ่ำของคุณพร้อมกับน้ำมันเบรก ในท่อทางจะยังคงร่วมกันทำหน้าที่ประดุจมือยกษ์ คอยฉุดให้รถหยุด ( ดุจจับวาง ) ในเมื่อ “ นักรถยนต์-Motorist “ ตั้งมากมายในแต่ละปีกลับลืม “ เลียเบรก “ ให้อุ่นหลังขึ้นจากน้ำ หรือท่ามกลางการบุกตะลุยอันเปียกชื้น ดังนั้นคุณจึงสมควรอย่างยิ่งที่ต้องกระทำหลังบุกขึ้นมาจากน้ำ
7. นักสะกดรอย... Groove Finder : ใช่... วิชาสะกดรอยที่คุณเคยร่ำเรียนมาเมื่อสมัยลูกเสือ หรือเนตรนารี ใช้ได้ผลเต็มที่ล่ะ คราวนี้ เพราะคุณควร “ สะกดร่อง หรือ แนวล้อ “ ของรถคันหน้าไว้ดุจโปลิสที่ไล่ตะครุบผู้ร้าย ( แต่ไม่ควรจี้ติดจนเกินไป ) ด้วยระยะ 50-100 เมตร ที่คุณ วิ่งซ้ำ ไปบนแนวยาง ( Groove Tires ) ของคันหน้า นั่นเท่ากับว่าคุณมีรถที่แหวก ความเปียกชื้นให้จะไม่ดีกว่าหรือ ? ( นักแข่ง F1 ต่างก็เป็นักสะกดรอยยางทั้งนั้นแหละครับ )
8. No Hazard ! : สัญญานะครับว่า คุณจะไม่เปิด “ ไฟฉุกเฉิน “ พร่ำเพรื่อ ดูจะเป็น “ ลัทธิเอาอย่าง “ โดยปริยายในหมู่ “ มือใหม่หัดขับ “ เมื่อพวกเขาต่าง “ จำอวด “ เปิดไฟกระพริบ-HAZARD กันจ้าละหวั่นเมื่อต้องเข้าตะลุยฝนฟ้า เพียงแค่เปิดไฟหรี่ หรือ Cornering Lamps เอาไว้ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกรถคันอื่น ๆ ว่า “ เฮ้ฝนตกหนัก ทางเจิ่งน้ำ พวกเราต้องวิ่งไปอย่างช้า ๆ แน่นอนว่าคุณควรปล่อย “ ไฟฉุกเฉิน “ ไว้ให้รถที่มีปัญหา ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ หรือไปต่อไม่ได้จะดีกว่าครับ... เชื่อเหอะ
9. ABS ? : ช่างเป็นโชคเสียนี่กระไร เมื่อคุณได้ควบรถที่มีระบบ ABS ตะลุยไปในเส้นทางฝนฟ้า ด้วยระบบเบรก ABS พื้นฐานยังเป็นประกันการหยุดอย่างเฉียบพลันพร้อมเสถียรภาพบนเส้นทางฟ้าฝน ( หากเป็นรถยุคเก่ากว่าปี 1996 โจนน้ำเมื่อไร ก็บันยะบันยังไว้บ้าง จะ Safe กว่านะครับ )
10. Safety Sense : ไม่ว่าคุณจะถูกยกย่องจากใคร ๆ ว่าเป็น... สุดยอด Motorist หรือนักรถยนต์ระดับใด คุณก็อาจจะต้องตกม้าตายได้ง่าย ๆ หากคุณปราศจาก สำนึกของความปลอดภัยอันถือเป็นสุดยอดคัมภีร์แห่งการขับขี่ ที่สุดยอดนักขับระดับ Top Driver ของโลกไม่ลังเลที่ต้องใช้มัน
<
2. ลดลมยาง เพิ่ม “ Groove of tires “ : เป็นเรื่องน่าตกใจ เมื่อคุณได้ทราบว่า “ หน้ายาง “ แต่ละล้อของรถนั้นแตะสัมผัสพื้นผิว เพียง 4 ตารางนิ้ว เท่านั้น ซึ่งนั่นเท่ากับว่า จุดสัมผัสหน้ายางทั้ง 4 ล้อรวมกัน มันสัมผัสพื้นผิวเพียง 16 ตารางนิ้ว ยิ่งต้องตะบึง ไปบนเส้นทางฟ้าฝนด้วยแล้ว การยึดเกาะอาจจะลดลงไปถึงครึ่ง ( โดยเฉพาะบนยางเก่าอายุมาก ๆ ) การลดลมยางมาระหว่าง 2-3 PSI ( ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ) เท่ากับว่าคุณกำลงัเพิ่มหน้ายางเพื่อสัมผัสพื้นถนนได้มากขึ้น วิธีนี้ยิ่งใช้ได้ดี หากคุณต้อง ตะลุยฝนห่าใหญ่ไปนับเป็นชั่วโมง ๆ
3. Aqua-Planning : อาการ “ เหินน้ำ “ นี้สุดแสนจะอันตรายใกล้มัจจุราช ที่แม้แต่แชมป์โลก F1 หรือทีมวิศวกรผู้ผลิตยาง ยังพ่ายมานักต่อนัก อาการนี้จะปรากฏทันทีที่คุณทะยานลงสู่แอ่งน้ำ หรือถนนเจิ่งนองด้วยความเร็ว ยิ่งกับยางที่หน้ากว้าง ๆ ด้วยแล้วอาการ “ เหินน้ำ “ สุดโหดนี้ยิ่งให้ผลชัด ฉะนั้นคิดซะใหม่หากคุณจำไปผิด ๆ ว่ายางหน้ากว้าง ๆ น่าจะเกาะผิวทาง เปียกได้ดีกว่ายางหน้าแคบ เพราะนั่นคุณกำลังเข้าใจผิดอย่างมหันต์
4. Soft Tool : คุณอาจไม่ทราบว่าการทำ “ Soft Tool “ : คุณอาจไม่ทราบว่าการทำ “ Soft Tool “ หรือ “ ฉีดสเปรย์ “ ไล่ความชื้นลงไปล่วงหน้าก่อนที่จะบุกน้ำลุยฝนนั้นถือว่าเป็นการทำที่ชาญฉลาด เพราะขณะที่คุณต้องลุยเข้าไปบน เส้นทางฝนฟ้า แม้รถยนต์ที่ได้ชื่อว่า ไฮ-เทค ก็ไม่อาจจะทนต่อกระแสน้ำที่ซัดมาจากรถใหญ่ ๆ หรือกระบะจอมลุย ที่ไม่เคยบันยะบันยังไปได้การฉีดสเปรย์สารพัดประโยชน์ เพื่อไล่ความชื้นไว้ล่วงหน้า นั่นเท่ากับว่าคุณได้ “ ห่มคลุม “ เครื่องยนต์ และระบบไฟของรถไว้แล้วอย่างมิดชิด ดังนั้นขั้ว “ Batt “ ( และสายดินขั้วลบ ) วงจรจุดระเบิด สายหัวเทียน และทุกขั้วไฟ ( Plug-In ) ทั้งหลายจึงควรได้รับการ “ Soft Tool “ ไว้แต่เนิ่น ๆ ครับ
5. เมื่อรถดับ อย่าเปิดฝากระโปรงทันที ? : เพราะการกระทำเช่นนี้คุณจะเปิดอ้ารับความเปียกชื้นให้เพิ่มทวี เครื่องยนต์ จะสูญเสียความร้อนลงในทันที และคงยากที่ความร้อนระอุภายในจะ “ เผาน้ำ “ ให้ระเหยทิ้งไป การสูญเสียความร้อนใน ห้องเครื่อง และตัวเครื่องยนต์ในทันที เท่ากับเป็นการยากมากขึ้นเพื่อจะสตาร์ตเครื่องยนต์ครั้งต่อไป จะเป็นประโยชน์ กว่าหากให้เวลาเพื่อใช้ความร้อนสะสมภายในไล่น้ำหรือความชื้นภายในลงไปใน ระดับหนึ่งก่อนจึงค่อยสตาร์ตครั้งใหม
6. Left Foot Braking… เลียเบรกด้วยเท้าซ้าย : คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่า จานเบรกอันเย็นฉ่ำของคุณพร้อมกับน้ำมันเบรก ในท่อทางจะยังคงร่วมกันทำหน้าที่ประดุจมือยกษ์ คอยฉุดให้รถหยุด ( ดุจจับวาง ) ในเมื่อ “ นักรถยนต์-Motorist “ ตั้งมากมายในแต่ละปีกลับลืม “ เลียเบรก “ ให้อุ่นหลังขึ้นจากน้ำ หรือท่ามกลางการบุกตะลุยอันเปียกชื้น ดังนั้นคุณจึงสมควรอย่างยิ่งที่ต้องกระทำหลังบุกขึ้นมาจากน้ำ
7. นักสะกดรอย... Groove Finder : ใช่... วิชาสะกดรอยที่คุณเคยร่ำเรียนมาเมื่อสมัยลูกเสือ หรือเนตรนารี ใช้ได้ผลเต็มที่ล่ะ คราวนี้ เพราะคุณควร “ สะกดร่อง หรือ แนวล้อ “ ของรถคันหน้าไว้ดุจโปลิสที่ไล่ตะครุบผู้ร้าย ( แต่ไม่ควรจี้ติดจนเกินไป ) ด้วยระยะ 50-100 เมตร ที่คุณ วิ่งซ้ำ ไปบนแนวยาง ( Groove Tires ) ของคันหน้า นั่นเท่ากับว่าคุณมีรถที่แหวก ความเปียกชื้นให้จะไม่ดีกว่าหรือ ? ( นักแข่ง F1 ต่างก็เป็นักสะกดรอยยางทั้งนั้นแหละครับ )
8. No Hazard ! : สัญญานะครับว่า คุณจะไม่เปิด “ ไฟฉุกเฉิน “ พร่ำเพรื่อ ดูจะเป็น “ ลัทธิเอาอย่าง “ โดยปริยายในหมู่ “ มือใหม่หัดขับ “ เมื่อพวกเขาต่าง “ จำอวด “ เปิดไฟกระพริบ-HAZARD กันจ้าละหวั่นเมื่อต้องเข้าตะลุยฝนฟ้า เพียงแค่เปิดไฟหรี่ หรือ Cornering Lamps เอาไว้ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกรถคันอื่น ๆ ว่า “ เฮ้ฝนตกหนัก ทางเจิ่งน้ำ พวกเราต้องวิ่งไปอย่างช้า ๆ แน่นอนว่าคุณควรปล่อย “ ไฟฉุกเฉิน “ ไว้ให้รถที่มีปัญหา ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ หรือไปต่อไม่ได้จะดีกว่าครับ... เชื่อเหอะ
9. ABS ? : ช่างเป็นโชคเสียนี่กระไร เมื่อคุณได้ควบรถที่มีระบบ ABS ตะลุยไปในเส้นทางฝนฟ้า ด้วยระบบเบรก ABS พื้นฐานยังเป็นประกันการหยุดอย่างเฉียบพลันพร้อมเสถียรภาพบนเส้นทางฟ้าฝน ( หากเป็นรถยุคเก่ากว่าปี 1996 โจนน้ำเมื่อไร ก็บันยะบันยังไว้บ้าง จะ Safe กว่านะครับ )
10. Safety Sense : ไม่ว่าคุณจะถูกยกย่องจากใคร ๆ ว่าเป็น... สุดยอด Motorist หรือนักรถยนต์ระดับใด คุณก็อาจจะต้องตกม้าตายได้ง่าย ๆ หากคุณปราศจาก สำนึกของความปลอดภัยอันถือเป็นสุดยอดคัมภีร์แห่งการขับขี่ ที่สุดยอดนักขับระดับ Top Driver ของโลกไม่ลังเลที่ต้องใช้มัน
ความร้อนตัวกลางสำคัญ กับ ปัญหารถยนต์
อากาศในบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เช่น ฤดูฝนเป็นช่วงที่อากาศมีความชื้นสูง และในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนจะมีฝุ่นละอองมากมายในอากาศ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นฤดูร้อนมากกว่าฤดูอื่น
ในกรุงเทพฯ มักจะประสบปัญหาการจราจรติดขัดในตอนเช้าเสมอ และในตอนบ่ายอากาศจะมีความร้อน จึงทำให้เครื่องยนต์เกิดปัญหาเรื่องความร้อนอย่างมากมาย เพราะอากาศที่ออกจากท่อไอเสียของรถคันหนึ่ง และจากรถอีกหลาย ๆ คันจะไหลอยู่บริเวณนั้น หากรถติดไฟแดงนาน ๆ จะทำให้รถเกิดโอเวอร์ฮีท หรือเครื่องยนต์ดับได้ ซึ่งปัญหาตรงนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียเกี่ยวกับเครื่องยนต์อย่างมากและ อุณหภูมิบริเวณห้องเครื่องอาจสูงเกือบ 100 องศานั่นก็หมายถึงอุปกรณ์รอบ ๆ นอกของเครื่องยนต์ เช่น ท่อยาง กระจกไฟฟ้า และสายไฟต่าง ๆ เกิดปัญหาตามไปด้วย
ถ้าเน้นกันจริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องของการจัดเตรียม และการดูแลอุปกรณ์ปลีกย่อย ผมคิดว่าคงต้องมีการดูแลในส่วนปลีกย่อยของแต่ละอัน อย่างเช่นในส่วนของหม้อน้ำว่าหน้าที่ของหม้อน้ำคืออะไร รถบางรุ่นอาจมีถึง 2 หม้อน้ำ และในการดูแลเรื่องของความร้อนโดยรวม ๆ ว่า เราดูอะไรบ้าง
ในประการแรกเลย เราต้องจับจุดและสังเกตดูที่หน้าปัด คือ ดูเกจวัดความร้อนเสียก่อนว่าความร้อนโดยเฉลี่ยจากการใช้รถในรายวันของเรา และเราต้องใช้รถไปนานเท่าใดจึงจะเข้าสู่ภาวะปรกติ ขณะที่รถติดไฟแดงนาน ๆ เคลื่อนที่ไม่ได้ ความร้อนอยู่ระดับไหน อาจจะอยู่ครึ่งกลาง หรือเลยตรงกลางเล็กน้อย เราต้องจำตรงนี้ให้แม่นยำครับ ในกรณีที่วันหนึ่งวันใด มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงเราจะได้รู้ได้ จากที่มีความรู้ในการดูแลเกจความร้อนแล้วคราวนี้เราก็มาดูอุปกรณ์โดยรวม ๆ ในห้องเครื่องยนต์
อันดับแรกเลยคือ หม้อน้ำ ในการสำรวจหม้อน้ำเราต้องดูฝาหม้อน้ำ ยางบริเวณที่สตรีมไว้ระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง ซึ่งฝาหม้อน้ำมักจะมี 2 ชั้นเสมอ เราต้องดูว่ายางเหล่านั้นเปื่อยยุ่ยหรือไม่ ถ้าเกิดการเปื่อยยุ่ยเมื่อใด วาล์วน้ำอันละไม่กี่บาท อย่างธรรมดาก็ราว ๆ 100 กว่าบาท ควรจะเปลี่ยนวาล์วหม้อน้ำใหม่ เมื่อเปิดฝาหม้อน้ำดูให้สังเกตความขุ่นของน้ำในหม้อน้ำเสียก่อน ถ้าขุ่นข้นเราก็ควรถ่ายน้ำทิ้ง แล้วก็เติมน้ำที่ป้องกันสนิมใส่เข้าไปใหม่ ในกรณีที่หาน้ำกันสนิมก็ควรถามอู่หรือร้านขายว่าเป็นชนิดที่ป้องกันสนิม หรือชนิดที่ชำระล้าง ก็ควรใช้ชนิดที่ป้องกันสนิมจะดีกว่า จากที่เราดูฝาหม้อน้ำและก็มาดูหม้อน้ำโดยรวม ๆ ดูว่าบริเวณรังผึ้งมีการเปื่อยยุ่ยหรือถ้าน้ำในหม้อน้ำเกิดการรั่วซึมและ บริเวณหม้อน้ำมีการปริแตกด้วยหรือเปล่า
ต่อมาก็คือท่อยาง ท่อยางหม้อน้ำจะมีท่อยางบนและล่าง ส่วนบนอาจเป็นท่อใหญ่ หรือท่อเล็กก็ได้ ท่อยางควรจะมีความหนืดเหนียว ไม่ใช่บวม เปื่อยยุ่ย หรือนุ่มนิ่ม จากการสัมผัสดูก็รู้ว่าท่อยางที่ใช้อยู่นั้นมีคุณภาพดีหรือไม่ อาจไม่ใช่แค่ท่อยางหม้อน้ำบนหรือล่าง แต่ต้องดูท่อยางทุก ๆ ท่อที่ส่งไปยังเครื่องยนต์ที่เราสามารถดูได้ด้วยตาเปล่า ดูว่ามียางตัวไหนไม่แน่นหรือกำลังจะเปื่อย แม้กระทั่งท่อยางที่ต่อไปในมิเตอร์บางรุ่นก็ควรที่จะตรวจสอบในเรื่องของท่อ นั้น ถ้าหากสงสัยหรือเห็นท่อยางตัวใดตัวหนึ่งเปื่อยยุ่ยจะต้องถือว่าเป็นของชำรุด ไม่ต้องรอให้หมดอายุก่อน ก็ควรรีบเปลี่ยน
จากอุปกรณ์ท่อน้ำที่เราดูโดยรวม ๆ เท่าที่จะสามารถดูได้ หาได้ก็คือ ท่อพักน้ำ กระเปาะพักน้ำ หรือหม้อน้ำพักน้ำอะไรก็แล้วแต่ที่มีอยู่ในตัวรถ ไม่ว่ารถรุ่นไหนก็ตามที่มีหม้อน้ำพักน้ำก็ต้องตรวจหม้อน้ำว่าสามารถเก็บกัก น้ำได้หรือไม่ ท่อมีการบวมแป่ง หรือเปื่อยยุ่ยหรือไม่
ถัดไปเป็นเรื่องของปลั๊กไฟต่าง ๆ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความร้อนก็คือ ปลั๊กไฟที่เป็นพัดลม หรือจะเป็นตัวพัดลมก็ตาม ในปลั๊กไฟต่าง ๆ ให้ดูขั้วสาย ดูรอยรั่ว รอยเปื่อยของสายไฟต่าง ๆ ต้องตรวจสอบให้ละเอียด จากนั้นก็ทดลองเอามือไปจับตามปลั๊กไฟต่าง ๆ ในขณะที่เราสับสวิตซ์แล้วนะครับ จับดูว่าใบพัดมีการคลอน การเขย่าตัว บูสต์ของมอเตอร์มีการหลวมตัวด้วยหรือเปล่า เพราะพัดลมไฟฟ้าจะทำงานขณะเครื่องยนต์มีความร้อน แล้วก็ต้องทำงานต่อเนื่องด้วย ต้องประเมินสถานการณ์พัดลมไฟฟ้าที่ใช้อยู่ด้านหน้า ไม่ว่าพัดลมแอร์หรือพัดลมหม้อน้ำก็ตามโอกาสที่พัดลมไฟฟ้าเกิดความเสียหาย นั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ขอบอกว่าพัดลมถ้าเสียแล้วลมไม่ไหลผ่าน ถ้าเผลอไม่ดูเกจหน้าปัด ความร้อนโอเวอร์ฮีทขึ้นมา พอดูอีกทีก็ขึ้นมาจนถึงขีดแดงแล้ว เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างใหญ่หลวง
ในกรุงเทพฯ มักจะประสบปัญหาการจราจรติดขัดในตอนเช้าเสมอ และในตอนบ่ายอากาศจะมีความร้อน จึงทำให้เครื่องยนต์เกิดปัญหาเรื่องความร้อนอย่างมากมาย เพราะอากาศที่ออกจากท่อไอเสียของรถคันหนึ่ง และจากรถอีกหลาย ๆ คันจะไหลอยู่บริเวณนั้น หากรถติดไฟแดงนาน ๆ จะทำให้รถเกิดโอเวอร์ฮีท หรือเครื่องยนต์ดับได้ ซึ่งปัญหาตรงนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียเกี่ยวกับเครื่องยนต์อย่างมากและ อุณหภูมิบริเวณห้องเครื่องอาจสูงเกือบ 100 องศานั่นก็หมายถึงอุปกรณ์รอบ ๆ นอกของเครื่องยนต์ เช่น ท่อยาง กระจกไฟฟ้า และสายไฟต่าง ๆ เกิดปัญหาตามไปด้วย
ถ้าเน้นกันจริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องของการจัดเตรียม และการดูแลอุปกรณ์ปลีกย่อย ผมคิดว่าคงต้องมีการดูแลในส่วนปลีกย่อยของแต่ละอัน อย่างเช่นในส่วนของหม้อน้ำว่าหน้าที่ของหม้อน้ำคืออะไร รถบางรุ่นอาจมีถึง 2 หม้อน้ำ และในการดูแลเรื่องของความร้อนโดยรวม ๆ ว่า เราดูอะไรบ้าง
ในประการแรกเลย เราต้องจับจุดและสังเกตดูที่หน้าปัด คือ ดูเกจวัดความร้อนเสียก่อนว่าความร้อนโดยเฉลี่ยจากการใช้รถในรายวันของเรา และเราต้องใช้รถไปนานเท่าใดจึงจะเข้าสู่ภาวะปรกติ ขณะที่รถติดไฟแดงนาน ๆ เคลื่อนที่ไม่ได้ ความร้อนอยู่ระดับไหน อาจจะอยู่ครึ่งกลาง หรือเลยตรงกลางเล็กน้อย เราต้องจำตรงนี้ให้แม่นยำครับ ในกรณีที่วันหนึ่งวันใด มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงเราจะได้รู้ได้ จากที่มีความรู้ในการดูแลเกจความร้อนแล้วคราวนี้เราก็มาดูอุปกรณ์โดยรวม ๆ ในห้องเครื่องยนต์
อันดับแรกเลยคือ หม้อน้ำ ในการสำรวจหม้อน้ำเราต้องดูฝาหม้อน้ำ ยางบริเวณที่สตรีมไว้ระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง ซึ่งฝาหม้อน้ำมักจะมี 2 ชั้นเสมอ เราต้องดูว่ายางเหล่านั้นเปื่อยยุ่ยหรือไม่ ถ้าเกิดการเปื่อยยุ่ยเมื่อใด วาล์วน้ำอันละไม่กี่บาท อย่างธรรมดาก็ราว ๆ 100 กว่าบาท ควรจะเปลี่ยนวาล์วหม้อน้ำใหม่ เมื่อเปิดฝาหม้อน้ำดูให้สังเกตความขุ่นของน้ำในหม้อน้ำเสียก่อน ถ้าขุ่นข้นเราก็ควรถ่ายน้ำทิ้ง แล้วก็เติมน้ำที่ป้องกันสนิมใส่เข้าไปใหม่ ในกรณีที่หาน้ำกันสนิมก็ควรถามอู่หรือร้านขายว่าเป็นชนิดที่ป้องกันสนิม หรือชนิดที่ชำระล้าง ก็ควรใช้ชนิดที่ป้องกันสนิมจะดีกว่า จากที่เราดูฝาหม้อน้ำและก็มาดูหม้อน้ำโดยรวม ๆ ดูว่าบริเวณรังผึ้งมีการเปื่อยยุ่ยหรือถ้าน้ำในหม้อน้ำเกิดการรั่วซึมและ บริเวณหม้อน้ำมีการปริแตกด้วยหรือเปล่า
ต่อมาก็คือท่อยาง ท่อยางหม้อน้ำจะมีท่อยางบนและล่าง ส่วนบนอาจเป็นท่อใหญ่ หรือท่อเล็กก็ได้ ท่อยางควรจะมีความหนืดเหนียว ไม่ใช่บวม เปื่อยยุ่ย หรือนุ่มนิ่ม จากการสัมผัสดูก็รู้ว่าท่อยางที่ใช้อยู่นั้นมีคุณภาพดีหรือไม่ อาจไม่ใช่แค่ท่อยางหม้อน้ำบนหรือล่าง แต่ต้องดูท่อยางทุก ๆ ท่อที่ส่งไปยังเครื่องยนต์ที่เราสามารถดูได้ด้วยตาเปล่า ดูว่ามียางตัวไหนไม่แน่นหรือกำลังจะเปื่อย แม้กระทั่งท่อยางที่ต่อไปในมิเตอร์บางรุ่นก็ควรที่จะตรวจสอบในเรื่องของท่อ นั้น ถ้าหากสงสัยหรือเห็นท่อยางตัวใดตัวหนึ่งเปื่อยยุ่ยจะต้องถือว่าเป็นของชำรุด ไม่ต้องรอให้หมดอายุก่อน ก็ควรรีบเปลี่ยน
จากอุปกรณ์ท่อน้ำที่เราดูโดยรวม ๆ เท่าที่จะสามารถดูได้ หาได้ก็คือ ท่อพักน้ำ กระเปาะพักน้ำ หรือหม้อน้ำพักน้ำอะไรก็แล้วแต่ที่มีอยู่ในตัวรถ ไม่ว่ารถรุ่นไหนก็ตามที่มีหม้อน้ำพักน้ำก็ต้องตรวจหม้อน้ำว่าสามารถเก็บกัก น้ำได้หรือไม่ ท่อมีการบวมแป่ง หรือเปื่อยยุ่ยหรือไม่
ถัดไปเป็นเรื่องของปลั๊กไฟต่าง ๆ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความร้อนก็คือ ปลั๊กไฟที่เป็นพัดลม หรือจะเป็นตัวพัดลมก็ตาม ในปลั๊กไฟต่าง ๆ ให้ดูขั้วสาย ดูรอยรั่ว รอยเปื่อยของสายไฟต่าง ๆ ต้องตรวจสอบให้ละเอียด จากนั้นก็ทดลองเอามือไปจับตามปลั๊กไฟต่าง ๆ ในขณะที่เราสับสวิตซ์แล้วนะครับ จับดูว่าใบพัดมีการคลอน การเขย่าตัว บูสต์ของมอเตอร์มีการหลวมตัวด้วยหรือเปล่า เพราะพัดลมไฟฟ้าจะทำงานขณะเครื่องยนต์มีความร้อน แล้วก็ต้องทำงานต่อเนื่องด้วย ต้องประเมินสถานการณ์พัดลมไฟฟ้าที่ใช้อยู่ด้านหน้า ไม่ว่าพัดลมแอร์หรือพัดลมหม้อน้ำก็ตามโอกาสที่พัดลมไฟฟ้าเกิดความเสียหาย นั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ขอบอกว่าพัดลมถ้าเสียแล้วลมไม่ไหลผ่าน ถ้าเผลอไม่ดูเกจหน้าปัด ความร้อนโอเวอร์ฮีทขึ้นมา พอดูอีกทีก็ขึ้นมาจนถึงขีดแดงแล้ว เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างใหญ่หลวง
เลือกอย่างไร กับชิ้นส่วนยาง (ตอบด้วย)
ค่อนข้างจะต้องมีความละเอียดรอบคอบพิถีพิถันมาก เป็นพิเศษ ประเภทที่ว่าแทบจะเอาแว่นขยายมาส่องกันได้ก็จะยิ่งดี แม้วว่าจะสร้างความรำคาญให้กับผู้ขาย และผู้พบเห็นบ้างก็ตาม แต่มันก็เป็นวิธีที่ช่วยตัวเองได้ดีที่สุด รถสมัยนี้คันหนึ่งมันหลายสตางค์เหลือเกิน เกิดพลาดพลั้งขึ้นมาใครหล่ะจะมาร่วมรับผิดชอบกับเราจริงไม๊
สำหรับชิ้นส่วนยาง อยากจะขอเน้นที่พวกซีลยางตามขอบประตู และฝาท้าย เจ้าซีลยางพวกนี้ก็จะมีลักษณะหน้าตาเป็นเส้นยาวๆ ติดประกบอยู่กับตัวถังที่ต้องมีการเปิดปิดบ่อยๆ เช่น บานประตู และฝากระโปรงท้าย ประโยชน์ของเจ้าซีลยางนี้ก็เป็นเรื่องของการป้องกันเสียงลม และน้ำไม่ให้เข้ามาภายในตัวถังรถเป็นหลัก จะว่าไปแล้วก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะขืนขับรถคันละเป็นล้านแต่ฝนตกทีน้ำไหลย้อยเข้ามาในรถ หรือมีเสียงลมประทะดังหวีดหวิวเป็นเพื่อนตลอดการเดินทางบนไฮเวย์คงจะทำให้พะ อือพะอมดีพิลึกทีเดียว
ซีลยางขอบประตู และฝาท้ายเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ประเภทหนึ่งที่ราคาสูงไม่เบาทีเดียว เรียกว่าเบิกห้างกันทีมีเป็นลมเอาได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเลือกซื้อหารถยนต์มือสองก็ควรจะให้ความสำคัญกับเจ้า ยางพวกนี้สักหน่อย แม้นว่าจะได้พบเจอปัญหาจากเจ้ายางที่ว่านี้ไม่มากเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าใครดวงถึงฆาตไปเจอเข้าก็สร้างปัญหาปวดหัวเอาเรื่องไม่หยอก ปัญหาที่พบกันบ่อยก็เป็นเรื่องของน้ำเข้ารถทั้งจากบานประตูและที่ฝาท้าย ถัดมาก็เป็นเรื่องเสียงลมจายางของประตูเวลาที่วิ่งด้วยความเร็วสูงๆ รวมถึงเวลาปิดพวกบานประตู และฝาท้ายที่ต้องกระแทกกันสุดแรงเกิดสุดท้ายก็เป็นพวกกลิ่นไม่พึงปรารถนาภาย นอกที่เล็ดลอดเข้ามาในรถอย่างเกิดจำเป็น สาเหตุในการเกิดปัญหาก็มีอยู่ไม่ข้อหลักๆ ก็เป็นเรื่องการหมดอายุใช้งาน ฉีกขาด ไม่เป็นไปตามรูปทรงเดิมของมัน หรือใช้ยางที่เป็นอะไหล่เทียม รวมถึงการติดตั้งที่ไม่ถูกต้องก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาเช่นกัน
วิธีการสังเกตตรวจตราเจ้าซีลยางพวกนี้ อาจจะต้องอาศัยความเป็นคนช่างสังเกตกันสักนิด แล้วก็ต้องลองขับขี่ด้วยอีกตากหาก อันดับแรกเลยก็ต้องดูเนื้อยางว่ามีความเสียหายบิดเบี้ยวเสียรูปทรงไปจากเดิม หรือไม่ การประกอบเข้ากับตัวถังสนิทแนบแน่นเพียงใด ไอ้ประเภทมีรอยกาวหรือมียางดำไหลเลอะเทอะเต็มไปหมดอย่างนั้นไม่ค่อยน่าวางใจ นัก ต่อมาก็เป็นเรื่องของเนื้อยางที่ต้องลองเอามือบีบดูว่ายังนิ่มในระดับใช้งาน ได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าแข็งจนเกือบจะเป็นหิน หรือยุ่ยจนแตะแทบไม่ได้ สำหรับเรื่องรูปทรงของยางจะตรงรุ่นหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยความช่างสังเกตของเราที่ต้องไปแอบดูรถคันอื่นรุ่นเดียวกับที่เรา กำลังสนใจมองหาอยู่ สุดท้ายก็เป็นการลองเปิด-ปิดเจ้าบานพับทั้งหลายแหล่ว่าต้องกระแทกปิดกัน อย่างรุนแรงเกินความจำเป็นหรือไม่ หลังจากนั้นก็ออกไปลองขับดูสักหน่อยว่ามีเสียงลมเสียงรบกวนจากภายนอกเข้ามา หรือไม่
หากพบเจอปัญหาอย่างที่ว่าไว้ข้างต้น ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกเราได้อยู่เหมือนกันว่ารถคันที่เรากำลังสนใจนี้ น่าจะมีความเป็นมาไม่ปกติ อย่างเช่น ถ้าซีลยางขาดบิดเบี้ยว หรือเปลี่ยนของเทียมมาแทนในกรณีที่รถอายุไม่มากนัก ก็น่าจะเดาได้ว่ามีสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุมาก่อนหน้านี้ เพราะต้องมีการรื้อยางพวกนี้ออกเพี่อทำสีนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องละเอียดรอบคอบสักนิด จะได้ใช้รถกันอย่างสบายใจ
<
สำหรับชิ้นส่วนยาง อยากจะขอเน้นที่พวกซีลยางตามขอบประตู และฝาท้าย เจ้าซีลยางพวกนี้ก็จะมีลักษณะหน้าตาเป็นเส้นยาวๆ ติดประกบอยู่กับตัวถังที่ต้องมีการเปิดปิดบ่อยๆ เช่น บานประตู และฝากระโปรงท้าย ประโยชน์ของเจ้าซีลยางนี้ก็เป็นเรื่องของการป้องกันเสียงลม และน้ำไม่ให้เข้ามาภายในตัวถังรถเป็นหลัก จะว่าไปแล้วก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะขืนขับรถคันละเป็นล้านแต่ฝนตกทีน้ำไหลย้อยเข้ามาในรถ หรือมีเสียงลมประทะดังหวีดหวิวเป็นเพื่อนตลอดการเดินทางบนไฮเวย์คงจะทำให้พะ อือพะอมดีพิลึกทีเดียว
ซีลยางขอบประตู และฝาท้ายเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ประเภทหนึ่งที่ราคาสูงไม่เบาทีเดียว เรียกว่าเบิกห้างกันทีมีเป็นลมเอาได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเลือกซื้อหารถยนต์มือสองก็ควรจะให้ความสำคัญกับเจ้า ยางพวกนี้สักหน่อย แม้นว่าจะได้พบเจอปัญหาจากเจ้ายางที่ว่านี้ไม่มากเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าใครดวงถึงฆาตไปเจอเข้าก็สร้างปัญหาปวดหัวเอาเรื่องไม่หยอก ปัญหาที่พบกันบ่อยก็เป็นเรื่องของน้ำเข้ารถทั้งจากบานประตูและที่ฝาท้าย ถัดมาก็เป็นเรื่องเสียงลมจายางของประตูเวลาที่วิ่งด้วยความเร็วสูงๆ รวมถึงเวลาปิดพวกบานประตู และฝาท้ายที่ต้องกระแทกกันสุดแรงเกิดสุดท้ายก็เป็นพวกกลิ่นไม่พึงปรารถนาภาย นอกที่เล็ดลอดเข้ามาในรถอย่างเกิดจำเป็น สาเหตุในการเกิดปัญหาก็มีอยู่ไม่ข้อหลักๆ ก็เป็นเรื่องการหมดอายุใช้งาน ฉีกขาด ไม่เป็นไปตามรูปทรงเดิมของมัน หรือใช้ยางที่เป็นอะไหล่เทียม รวมถึงการติดตั้งที่ไม่ถูกต้องก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาเช่นกัน
วิธีการสังเกตตรวจตราเจ้าซีลยางพวกนี้ อาจจะต้องอาศัยความเป็นคนช่างสังเกตกันสักนิด แล้วก็ต้องลองขับขี่ด้วยอีกตากหาก อันดับแรกเลยก็ต้องดูเนื้อยางว่ามีความเสียหายบิดเบี้ยวเสียรูปทรงไปจากเดิม หรือไม่ การประกอบเข้ากับตัวถังสนิทแนบแน่นเพียงใด ไอ้ประเภทมีรอยกาวหรือมียางดำไหลเลอะเทอะเต็มไปหมดอย่างนั้นไม่ค่อยน่าวางใจ นัก ต่อมาก็เป็นเรื่องของเนื้อยางที่ต้องลองเอามือบีบดูว่ายังนิ่มในระดับใช้งาน ได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าแข็งจนเกือบจะเป็นหิน หรือยุ่ยจนแตะแทบไม่ได้ สำหรับเรื่องรูปทรงของยางจะตรงรุ่นหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยความช่างสังเกตของเราที่ต้องไปแอบดูรถคันอื่นรุ่นเดียวกับที่เรา กำลังสนใจมองหาอยู่ สุดท้ายก็เป็นการลองเปิด-ปิดเจ้าบานพับทั้งหลายแหล่ว่าต้องกระแทกปิดกัน อย่างรุนแรงเกินความจำเป็นหรือไม่ หลังจากนั้นก็ออกไปลองขับดูสักหน่อยว่ามีเสียงลมเสียงรบกวนจากภายนอกเข้ามา หรือไม่
หากพบเจอปัญหาอย่างที่ว่าไว้ข้างต้น ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกเราได้อยู่เหมือนกันว่ารถคันที่เรากำลังสนใจนี้ น่าจะมีความเป็นมาไม่ปกติ อย่างเช่น ถ้าซีลยางขาดบิดเบี้ยว หรือเปลี่ยนของเทียมมาแทนในกรณีที่รถอายุไม่มากนัก ก็น่าจะเดาได้ว่ามีสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุมาก่อนหน้านี้ เพราะต้องมีการรื้อยางพวกนี้ออกเพี่อทำสีนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องละเอียดรอบคอบสักนิด จะได้ใช้รถกันอย่างสบายใจ
ป้ายกำกับ:
ดูแลรถ,
ดูแลรักษารถยนต์,
รถแพง,
รถหรู,
อะไหล่รถ
เลือกคุณภาพ น้ำมันเครื่องอย่างไรดี
อ่านแล้วยาวพอสมควรเลยครับ แต่ก็เพื่อประโยชน์ในการเลือกน้ำมันเครื่องครับ
เกรดน้ำมันเครื่อง
ความ หมายของที่อยู่ข้างกระป๋องนั้น มีความสำคัญต่อการใช้งานของเครื่องยนต์ เราสามารถแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องออกได้ สองประเภทด้วยกัน ดังนี้
-แบ่งตามความหนืด
-แบ่งตามสภาพการใช้งาน
การแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องตามความหนืด
จะเป็นที่คุ้นเคยและใช้กันมานานแล้ว และเป็นมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงของอีกหลายสถาบันที่ตั้งขึ้นมาทีหลังอีกด้วย พูดถึงมาตรฐาน " SAE" คงจะรู้จักกันมาตรฐานนี้ก่อตั่งโดย "สมาคมวิศวกรยานยนต์" ของอเมริกา ( Society of Automotive Engineers) การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่องแบบนี้จะแบ่งเป็นเบอร์ เช่น 30,40,50 ซึ่งตัวเลขแต่ละชุดนั้นจะหมายถึงค่าความข้นใสหรือค่าความหนืดของน้ำมันหล่อ ลื่น โดยน้ำมันที่มีเบอร์ต่ำจะใสกว่าเบอร์สูง ตัวเลขที่แสดงอยู่นั้นจะมาจากการทดสอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส หมายความว่าที่อุณหภูมิทำการทดสอบ น้ำมันเบอร์ 50 จะมีความหนืดมากกว่าน้ำมันเบอร์ 30 เป็นต้น
น้ำมันที่มีตัว " W" ต่อท้ายนั้นย่อมาจากคำว่า Winter เป็นน้ำมันเครื่องที่เหมาะสำหรับใช้ในอุณหภูมิต่ำ ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งมีความข้นใสน้อย จะวัดกันที่อุณหภูมิต่ำ - 18 องศาเซลเซียสน้ำมันเบอร์ 5W จะมีความข้นใสน้อยกว่าเบอร์ 15W นั่นหมายความว่าตัวเลขสำหรับเกรดที่มี " W" ต่อท้ายเลขยิ่งน้อย ยิ่งคงความข้นใสในอุณหภูมิที่ติดลบมาก ๆ ได้เหมาะสำหรับใช้งานในประเทศที่มีภูมิอากาศหนาวเย็นมาก อย่างเกรด 0W นั้นสามารถคงความข้นใสได้ถึงประมาณ - 30 องศาเซลเซียส เกรด 20 W สามารถคงความข้นใสได้ถึงอุณหภูมิประมาณ - 10 องศาเซลเซียส น้ำมันเครื่องทั้งสองเกรดนี้เรียกว่า "น้ำมันเครื่องชนิดเกรดเดียว" ( Single Viscosity หรือ Single Grade)
ส่วนน้ำมันเครื่องชนิดเกรดรวม ( Multi Viscosity หรือ Multi Grade) นั้นทาง SAE ไม่ได้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานของน้ำมันเกรดรวม แต่เกิดจากการที่ผู้ผลิตสามารถปรับปรุงโดยใช้สารเคมีเข้ามาผสมจนสามารถทำให้ น้ำมันเครื่องนั้น ๆ มีมาตรฐานเทียบเท่ากับมาตรฐานของ SAE ทั้งสองแบบได้เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการใช้งานตามสภาพภูมิประเทศที่มี อุณหภูมิต่างกันมาก การผสมสารปรับปรุงคุณภาพนั้นแตกต่างกันมากน้อยตามความต้องการในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเกรด 5W-40 หรือ 15W-50 แต่การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่องตามความหนืดที่เราเรียกกันเป็นเบอร์นี้ สามารถบอกได้แค่ช่วงความหนืดเท่านั้นแต่ไม่ได้บ่งบอกถึงระดับในการใช้งานของ เครื่องยนต์แต่ละประเภท
ต่อมาในประมาณปี 1970 SAE,API และ ASTM (American Society for Testing and Masterials) ได้ร่วมมือกันกำหนดการแยกน้ำมันเครื่องตามสภาพการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อ ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี่เครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้น เราจึงเห็นได้เห็นจากข้างกระป๋องบรรจุ ตัวอย่างเช่น การบอกมาตรฐานในการใช้งานไว้ API SJ/CF และมีค่าความหนืดของ SAE 20W-50 ควบคู่กันไปด้วยแสดงว่าน้ำมันเครื่องชนิดนี้สามารถใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน ได้เทียบเท่าเกรด SJ ถ้าใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลจะเทียบเท่าเกรด CF ที่ค่าความหนืด SAE 20W-50
การกำหนดมาตราฐานของน้ำมันเครื่องตามสภาพการใช้งาน
สามารถแบ่งมาตรฐานของน้ำมันเครื่องโดยอ้างอิงสถาบันใหญ่ได้หลายสถาบัน เช่น
สถาบัน "API" หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา
สถาบัน " ACEA" ( เดิมเรียก CCMC) เกิดจากการรวมตัวของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ในตลาดร่วมยุโรป
สถาบัน "JASO" เกิดจากการรวมตัวของสถาบันกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น
จะเห็นได้ว่าแต่เดิมสถาบัน API ซึ่งเคยมีบทบาทมากในอดีต และเป็นสถาบันที่กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกยอมรับ ปัจจุบันในกลุ่มประเทศยุโรปและญี่ปุ่นก็ได้มีการออกมาตรฐานขึ้นมาเป็นของตน เองเช่นกัน
คำว่า "API" ย่อมาจาก " American Petroleum Institute" หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา ซึ่งจะแบ่งเกรดน้ำมันหล่อลื่นตามสภาพการใช้งานเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ตามชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ก็คือ
"API" ของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงใช้สัญลักษณ์ "S" (Service Stations Classifications) นำหน้า เช่น SA, SB, SC, SD, SE, SF, SG, SH, และ SJ
"API" ของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง ใช้สัญลักษณ์ " C" (Commercial Classifi-cations) นำหน้าเช่น CA, CB, CC, CD, CD-II, CF, CF-2, CF-4, และ CG-4
เรามาดูน้ำมันเครื่องที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงกันก่อนจะใช้ สัญลักษณ์ "S" และตามด้วยสัญลักษณ์แทนน้ำมันเกรดต่าง ๆ ที่แบ่งได้ตามเกรดดังต่อไปนี้
SA สำหรับเครื่องยนต์เบนซินใช้งานเบาไม่มีสารเพิ่มคุณภาพ
SB สำหรับเครื่องยนต์เบนซินใช้งานเบามีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย และสารป้องกันการกัดกร่อนไม่แนะนำให้ใช้ในเครื่องยนต์รุ่นใหม่
SC สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1964-1967 โดยมีคุณภาพสูงกว่ามาตรฐาน SB เล็กน้อย เช่น มีสารควบคุมการเกิดคราบเขม่า
SD สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1968-1971 โดยมีสารคุณภาพสูงกว่า SC และมีสารเพิ่มคุณภาพมากกว่า SC
SE สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1971-1979 มีสารเพิ่มคุณภาพเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้สูงกว่า SD และ SC และยังสามารถใช้แทน SD และ SC ได้ดีกว่าอีกด้วย
SF สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1980-1988 มีคุณสมบัติป้องกันการเสื่อมสภาพสามารถจะทนความร้อนสูงกว่า SE และยังมีสารชำระล้างคราบเขม่าได้ดีขึ้น
SG เริ่มประกาศใช้เมื่อเดือนมีนาคม คศ. 1988 มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐาน SF โดยเฉพาะมีสารป้องกันการสึกหรอ สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันสนิมสารป้องกันการเสื่อมสภาพเนื่องจากความร้อน และสารชะล้าง-ละลาย และย่อยเขม่าที่ดีขึ้น
SH เริ่มประกาศใช้เมื่อปี คศ. 1994 เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างรวดเร็วมี ระบบใหม่ ๆ ในเครื่องยนต์ที่ถูกคิดค้นนำเข้ามาใช้ เช่น ระบบ Twin Cam, Fuel Injector, Multi-Valve, Variable Valve Timing และยังมีการติดตั้งระบบแปรสภาพไอเสีย (Catalytic Convertor) เพิ่มขึ้น
SJ เป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบัน เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1997 มีคุณสมบัติทั่วไปคลายกับมาตรฐาน SH แต่จะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีกว่ามีค่าการระเหยตัว ( Lower Volatility) ต่ำกว่าทำให้ลดอัตราการกินน้ำมันเครื่องลงและมีค่าฟอสฟอรัส ( Phosphorous) ที่ต่ำกว่าจะช่วยให้เครื่องกรองไอเสียใช้งานได้นานขึ้น
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะใช้สัญลักษณ์ "C" (Commercial Classifications) และตามสัด้วยสัญลักษณ์ที่แทนด้วยน้ำมันเกรดต่าง ๆ โดยจะแบ่งตามลักษณะเครื่องยนต์ที่ใช้งานแตกต่างกัน
CA สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้งานเบา เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตขึ้นระหว่าง คศ. 1910-1950 มีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย เช่น สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันคราบเขม่าไปเกาะติดบริเวณลูกสูบผนังลูกสูบและแหวนน้ำมัน
CB สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลธรรมดา งานเบาปานกลาง มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1949 มีคุณภาพสูงกว่า CA โดยสารคุณภาพดีกว่า CA
CC สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบ มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1961 ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่า CB โดยเพิ่มคุณสมบัติในการป้องกันคราบเขม่ามีสารป้องกันสนิมและกัดกร่อน ไม่ว่าเครื่องยนต์จะร้อนหรือเย็นจัดก็ตาม
CD สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ คศ. 1955 มีคุณภาพสูงกว่า CC
CD-II สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2 จังหวะ เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1988 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร
CE สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ คศ. 1983 มีคุณภาพสูงกว่า CD ป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้อย่างดีเยี่ยม
CF เป็นมาตรฐานสูงสุดในเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน สำหรับเกรดธรรมดา ( Mono Grade) เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1994 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลทุกชนิดไม่ว่าจะใช้ งานหนักหรือเบา สามารถใช้แทนในมาตรฐานที่รอง ๆ ลงมา เช่น CE, CD, CC ได้ดีกว่าอีกด้วย
CF-2 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุนใหม่ 2 จังหวะเริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1994 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร
CF-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4 จังหวะที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนักและรอบจัด เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1990 เป็นน้ำมันเครื่องเกรดรวม สามารถป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้ดีเยี่ยม
CG-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4 จังหวะซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดในในปัจจุบัน เริ่มประกาศใช้ปี 1996 เป็นน้ำมันเครื่องเกรดรวม
มาตรฐานน้ำมันเครื่อง ACEA ย่อมาจาก The Association des Constructeurs Europeens d'Automobile หรือเป็นทางการว่า European Automobile Manufarturer' Association สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ในตลาดร่วมยุโรบซึ่งได้แก่ ALFA ROMEO, BRITISH LEYLAND, BMW, DAF, DAIMLER-BENZ, FIAT, MAN, PEUGEOT, PORSCHE, RENAULT, VOLKSWAGEN, ROLLS-ROYCE, และ VOLVO ได้มีการกำหนด มาตรฐานโดยเริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ 1 มกราคม 1996 โดยยกเลิกมาตรฐาน CCMC ไปเนื่องจาก ACEA มีสถาบันเข้าร่วมโครงการมากกว่าและมีข้อกำหนดที่เด่นชัด
มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน (Gasoline (Petron) Engines)
A 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป
A 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก
A 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์เบนซินในปัจจุบัน
มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก (Light Duty Diesel Engines)
B 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กทั่วไป
B 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก
B 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กในปัจจุบัน
มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ (Heavy Duty Diesel Engines)
E 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ทั่วไป
E 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก
E 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน
มาตรฐานน้ำมันเครื่อง JASO ย่อมาจาก Japanese Automobile Standard Organization หรือกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเเป็นกลุ่มที่มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน ต่อมาเรียกรวมเป็นมาตรฐาน ISO โดยเเบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
เครื่องยนต์เบนซิน
JSE (ISO-L-EJGE) เทียบพอๆ กับมาตรฐาน API SE หรือ CCMC G1 โดยเน้นป้องกันการสึกหรอบริเวณวาล์วเพิ่มขึ้น
JSG (ISO-L-EJDD) เทียบกับมาตรรฐานสูงกว่า API SG หรือ CCMC G4 โดยเน้นป้องกันการสึกหรอบริเวณวาล์วเพิ่มขึ้นไปอีก
เครื่องยนต์ดีเซล
JASO CC (ISO -L-EJDC) โดยกำหนดว่าต้องผ่านการทดสอบโดยเครื่องยนต์นิสสัน SD 22 เป็นเวลา 50 ชั่วโมง เทียบได้กับ API CC เป็นอย่างต่ำ
JASO CD (ISO -L-EJDD) โดยกำหนดว่าต้องผ่านการทดสอบโดยเครื่องยนต์นิสสัน SD 22 เป็นเวลา 100 ชั่วโมง เทียบได้กับ API CD เป็นอย่างต่ำ
มาตรฐานน้ำมันเครื่องแห่งกองทัพสหรัฐ
มาตรฐาน MIL-L-2104 เป็นมาตรฐานของน้ำมันหล่อลื่นที่กำหนดขึ้นสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน มีรายละเอียดดังนี้
MIL-L-2104 A ถูกกำหนดขึ้นเมื่อปี 1954 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีกำมะถันต่ำและเครื่องยนต์เบนซินทั่ว ๆ ไปเปรียบได้กับมาตรฐาน API CA/SB ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว
MIL-L-2104 B กำหนดใช้เมื่อปี 1964 สำหรับน้ำมันหล่อลื่นทีมีสารเพิ่มคุณภาพด้านการป้องกันการเกิดอ๊อกซิเดชั่น และป้องกันสนิม เทียบได้กับมาตรฐาน API CC/SC
MIL-L-2104 C กำหนดใช้เมื่อปี 1970 สำหรับน้ำมันหล่ดลื่นที่ใช้กับเครื่องยนต์ที่มีรอบสูงมาก ๆ และการใช้งานหนัก มีสารป้องกันคราบเขม่า ป้องกันการสึกหรอ และป้องกันสนิม เทียบได้กับมาตรฐาน API CD/SC
MIL-L-2104 D กำหนดใช้เมื่อปี 1983 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน 4 จังหวะ ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานหนัก เทียบได้กับมาตรฐาน API CD/SC
MIL-L-2104 E กำหนดใช้เมื่อปี 1988 เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน 4 จังหวะ รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานหนัก เทียบได้กับมาตรฐาน API CF/SG
มาตรฐาน MIL-L-46152 เริ่มกำหนดใช้เมื่อปี 1970 เป็นมาตรฐานน้ำมันเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน
MIL-L-46152 A เริ่มใช้เมื่อปี 1980 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซินทั่วไป เทียบได้กับมาตรฐาน API SE/CC
MIL-L-46152 B กำหนดใช้เมื่อปี 1981 เป็นการรวมมาตรฐาน MIL-L-2104 B เทียบได้กับมาตรฐาน API SF/CC
MIL-L-46152 C กำหนดใช้เมื่อปี 1987 โดยปรับปรุงจากมาตรฐาน MIL-L-46152 B เพราะมีการเปลียนแปลงวิธีการวัดจุดไหลเทใหม่
MIL-L-46152 D เป็นมาตรฐานที่ปรับปรุงมาจาก MIL-L-46152 C เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทดสอบเครื่องยนต์ และมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดอ๊อกซิเดนชั่นดีขึ้นกว่าเดิม เทียบได้กับมาตรฐาน API SE/CD
MIL-L-46152 E มาตรฐานล่าสุด เทียบได้กับมาตรฐาน API SG/CE
สำหรับมาตรฐานน้ำมันเครื่องที่รู้จัก ก็คือมาตรฐาน " API" และ " SAE" ซึ่งน้ำมันเครื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่มักจะแจ้งมาคู่กันบางยี่ห้อจะบอกค่า ดัชนีความหนืดของ "SAE" อย่างเช่น 5W-30, 15W-40 เป็นต้นและจะมีค่ามาตรฐานที่บอกสมรรถนะของน้ำมันเครื่องกระป๋องนั้นเป็น มาตรฐาน "API" เช่น SE, SF, SG, CC, CD, CE เป็นต้น
ดังนั้นการเลือกใช้น้ำมันเครื่องก็ไม่ควรฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ เลือกใช้ให้เหมาะกับรถก็พอ แต่ควรจะเลือกใช้ค่าความหนืดให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและอาศัยการเปลี่ยนถ่าย ที่เหมาะสมแก่เวลา ส่วนการเลือกใช้น้ำมันสังเคราะห์นั้น มันก็ดีที่ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ได้อีกทางแต่มันไม่ค่อยเหมาะสมกับรถที่ใช้ งานธรรมดาจะเหมาะกับพวกชอบใช้รอบเครื่องยนต์สูง ๆ ขับซิ่ง ๆยิ่งในเศรษฐกิจแบบนี้ต้องไม่จ่ายแพงกว่า และการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง ควรที่จะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องควรคู่กันไปด้วย
เกรดน้ำมันเครื่อง
ความ หมายของที่อยู่ข้างกระป๋องนั้น มีความสำคัญต่อการใช้งานของเครื่องยนต์ เราสามารถแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องออกได้ สองประเภทด้วยกัน ดังนี้
-แบ่งตามความหนืด
-แบ่งตามสภาพการใช้งาน
การแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องตามความหนืด
จะเป็นที่คุ้นเคยและใช้กันมานานแล้ว และเป็นมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงของอีกหลายสถาบันที่ตั้งขึ้นมาทีหลังอีกด้วย พูดถึงมาตรฐาน " SAE" คงจะรู้จักกันมาตรฐานนี้ก่อตั่งโดย "สมาคมวิศวกรยานยนต์" ของอเมริกา ( Society of Automotive Engineers) การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่องแบบนี้จะแบ่งเป็นเบอร์ เช่น 30,40,50 ซึ่งตัวเลขแต่ละชุดนั้นจะหมายถึงค่าความข้นใสหรือค่าความหนืดของน้ำมันหล่อ ลื่น โดยน้ำมันที่มีเบอร์ต่ำจะใสกว่าเบอร์สูง ตัวเลขที่แสดงอยู่นั้นจะมาจากการทดสอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส หมายความว่าที่อุณหภูมิทำการทดสอบ น้ำมันเบอร์ 50 จะมีความหนืดมากกว่าน้ำมันเบอร์ 30 เป็นต้น
น้ำมันที่มีตัว " W" ต่อท้ายนั้นย่อมาจากคำว่า Winter เป็นน้ำมันเครื่องที่เหมาะสำหรับใช้ในอุณหภูมิต่ำ ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งมีความข้นใสน้อย จะวัดกันที่อุณหภูมิต่ำ - 18 องศาเซลเซียสน้ำมันเบอร์ 5W จะมีความข้นใสน้อยกว่าเบอร์ 15W นั่นหมายความว่าตัวเลขสำหรับเกรดที่มี " W" ต่อท้ายเลขยิ่งน้อย ยิ่งคงความข้นใสในอุณหภูมิที่ติดลบมาก ๆ ได้เหมาะสำหรับใช้งานในประเทศที่มีภูมิอากาศหนาวเย็นมาก อย่างเกรด 0W นั้นสามารถคงความข้นใสได้ถึงประมาณ - 30 องศาเซลเซียส เกรด 20 W สามารถคงความข้นใสได้ถึงอุณหภูมิประมาณ - 10 องศาเซลเซียส น้ำมันเครื่องทั้งสองเกรดนี้เรียกว่า "น้ำมันเครื่องชนิดเกรดเดียว" ( Single Viscosity หรือ Single Grade)
ส่วนน้ำมันเครื่องชนิดเกรดรวม ( Multi Viscosity หรือ Multi Grade) นั้นทาง SAE ไม่ได้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานของน้ำมันเกรดรวม แต่เกิดจากการที่ผู้ผลิตสามารถปรับปรุงโดยใช้สารเคมีเข้ามาผสมจนสามารถทำให้ น้ำมันเครื่องนั้น ๆ มีมาตรฐานเทียบเท่ากับมาตรฐานของ SAE ทั้งสองแบบได้เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการใช้งานตามสภาพภูมิประเทศที่มี อุณหภูมิต่างกันมาก การผสมสารปรับปรุงคุณภาพนั้นแตกต่างกันมากน้อยตามความต้องการในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเกรด 5W-40 หรือ 15W-50 แต่การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่องตามความหนืดที่เราเรียกกันเป็นเบอร์นี้ สามารถบอกได้แค่ช่วงความหนืดเท่านั้นแต่ไม่ได้บ่งบอกถึงระดับในการใช้งานของ เครื่องยนต์แต่ละประเภท
ต่อมาในประมาณปี 1970 SAE,API และ ASTM (American Society for Testing and Masterials) ได้ร่วมมือกันกำหนดการแยกน้ำมันเครื่องตามสภาพการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อ ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี่เครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้น เราจึงเห็นได้เห็นจากข้างกระป๋องบรรจุ ตัวอย่างเช่น การบอกมาตรฐานในการใช้งานไว้ API SJ/CF และมีค่าความหนืดของ SAE 20W-50 ควบคู่กันไปด้วยแสดงว่าน้ำมันเครื่องชนิดนี้สามารถใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน ได้เทียบเท่าเกรด SJ ถ้าใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลจะเทียบเท่าเกรด CF ที่ค่าความหนืด SAE 20W-50
การกำหนดมาตราฐานของน้ำมันเครื่องตามสภาพการใช้งาน
สามารถแบ่งมาตรฐานของน้ำมันเครื่องโดยอ้างอิงสถาบันใหญ่ได้หลายสถาบัน เช่น
สถาบัน "API" หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา
สถาบัน " ACEA" ( เดิมเรียก CCMC) เกิดจากการรวมตัวของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ในตลาดร่วมยุโรป
สถาบัน "JASO" เกิดจากการรวมตัวของสถาบันกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น
จะเห็นได้ว่าแต่เดิมสถาบัน API ซึ่งเคยมีบทบาทมากในอดีต และเป็นสถาบันที่กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกยอมรับ ปัจจุบันในกลุ่มประเทศยุโรปและญี่ปุ่นก็ได้มีการออกมาตรฐานขึ้นมาเป็นของตน เองเช่นกัน
คำว่า "API" ย่อมาจาก " American Petroleum Institute" หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา ซึ่งจะแบ่งเกรดน้ำมันหล่อลื่นตามสภาพการใช้งานเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ตามชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ก็คือ
"API" ของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงใช้สัญลักษณ์ "S" (Service Stations Classifications) นำหน้า เช่น SA, SB, SC, SD, SE, SF, SG, SH, และ SJ
"API" ของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง ใช้สัญลักษณ์ " C" (Commercial Classifi-cations) นำหน้าเช่น CA, CB, CC, CD, CD-II, CF, CF-2, CF-4, และ CG-4
เรามาดูน้ำมันเครื่องที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงกันก่อนจะใช้ สัญลักษณ์ "S" และตามด้วยสัญลักษณ์แทนน้ำมันเกรดต่าง ๆ ที่แบ่งได้ตามเกรดดังต่อไปนี้
SA สำหรับเครื่องยนต์เบนซินใช้งานเบาไม่มีสารเพิ่มคุณภาพ
SB สำหรับเครื่องยนต์เบนซินใช้งานเบามีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย และสารป้องกันการกัดกร่อนไม่แนะนำให้ใช้ในเครื่องยนต์รุ่นใหม่
SC สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1964-1967 โดยมีคุณภาพสูงกว่ามาตรฐาน SB เล็กน้อย เช่น มีสารควบคุมการเกิดคราบเขม่า
SD สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1968-1971 โดยมีสารคุณภาพสูงกว่า SC และมีสารเพิ่มคุณภาพมากกว่า SC
SE สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1971-1979 มีสารเพิ่มคุณภาพเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้สูงกว่า SD และ SC และยังสามารถใช้แทน SD และ SC ได้ดีกว่าอีกด้วย
SF สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1980-1988 มีคุณสมบัติป้องกันการเสื่อมสภาพสามารถจะทนความร้อนสูงกว่า SE และยังมีสารชำระล้างคราบเขม่าได้ดีขึ้น
SG เริ่มประกาศใช้เมื่อเดือนมีนาคม คศ. 1988 มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐาน SF โดยเฉพาะมีสารป้องกันการสึกหรอ สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันสนิมสารป้องกันการเสื่อมสภาพเนื่องจากความร้อน และสารชะล้าง-ละลาย และย่อยเขม่าที่ดีขึ้น
SH เริ่มประกาศใช้เมื่อปี คศ. 1994 เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างรวดเร็วมี ระบบใหม่ ๆ ในเครื่องยนต์ที่ถูกคิดค้นนำเข้ามาใช้ เช่น ระบบ Twin Cam, Fuel Injector, Multi-Valve, Variable Valve Timing และยังมีการติดตั้งระบบแปรสภาพไอเสีย (Catalytic Convertor) เพิ่มขึ้น
SJ เป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบัน เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1997 มีคุณสมบัติทั่วไปคลายกับมาตรฐาน SH แต่จะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีกว่ามีค่าการระเหยตัว ( Lower Volatility) ต่ำกว่าทำให้ลดอัตราการกินน้ำมันเครื่องลงและมีค่าฟอสฟอรัส ( Phosphorous) ที่ต่ำกว่าจะช่วยให้เครื่องกรองไอเสียใช้งานได้นานขึ้น
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะใช้สัญลักษณ์ "C" (Commercial Classifications) และตามสัด้วยสัญลักษณ์ที่แทนด้วยน้ำมันเกรดต่าง ๆ โดยจะแบ่งตามลักษณะเครื่องยนต์ที่ใช้งานแตกต่างกัน
CA สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้งานเบา เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตขึ้นระหว่าง คศ. 1910-1950 มีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย เช่น สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันคราบเขม่าไปเกาะติดบริเวณลูกสูบผนังลูกสูบและแหวนน้ำมัน
CB สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลธรรมดา งานเบาปานกลาง มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1949 มีคุณภาพสูงกว่า CA โดยสารคุณภาพดีกว่า CA
CC สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบ มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1961 ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่า CB โดยเพิ่มคุณสมบัติในการป้องกันคราบเขม่ามีสารป้องกันสนิมและกัดกร่อน ไม่ว่าเครื่องยนต์จะร้อนหรือเย็นจัดก็ตาม
CD สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ คศ. 1955 มีคุณภาพสูงกว่า CC
CD-II สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2 จังหวะ เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1988 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร
CE สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ คศ. 1983 มีคุณภาพสูงกว่า CD ป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้อย่างดีเยี่ยม
CF เป็นมาตรฐานสูงสุดในเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน สำหรับเกรดธรรมดา ( Mono Grade) เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1994 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลทุกชนิดไม่ว่าจะใช้ งานหนักหรือเบา สามารถใช้แทนในมาตรฐานที่รอง ๆ ลงมา เช่น CE, CD, CC ได้ดีกว่าอีกด้วย
CF-2 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุนใหม่ 2 จังหวะเริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1994 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร
CF-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4 จังหวะที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนักและรอบจัด เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1990 เป็นน้ำมันเครื่องเกรดรวม สามารถป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้ดีเยี่ยม
CG-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4 จังหวะซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดในในปัจจุบัน เริ่มประกาศใช้ปี 1996 เป็นน้ำมันเครื่องเกรดรวม
มาตรฐานน้ำมันเครื่อง ACEA ย่อมาจาก The Association des Constructeurs Europeens d'Automobile หรือเป็นทางการว่า European Automobile Manufarturer' Association สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ในตลาดร่วมยุโรบซึ่งได้แก่ ALFA ROMEO, BRITISH LEYLAND, BMW, DAF, DAIMLER-BENZ, FIAT, MAN, PEUGEOT, PORSCHE, RENAULT, VOLKSWAGEN, ROLLS-ROYCE, และ VOLVO ได้มีการกำหนด มาตรฐานโดยเริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ 1 มกราคม 1996 โดยยกเลิกมาตรฐาน CCMC ไปเนื่องจาก ACEA มีสถาบันเข้าร่วมโครงการมากกว่าและมีข้อกำหนดที่เด่นชัด
มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน (Gasoline (Petron) Engines)
A 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป
A 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก
A 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์เบนซินในปัจจุบัน
มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก (Light Duty Diesel Engines)
B 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กทั่วไป
B 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก
B 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กในปัจจุบัน
มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ (Heavy Duty Diesel Engines)
E 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ทั่วไป
E 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก
E 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน
มาตรฐานน้ำมันเครื่อง JASO ย่อมาจาก Japanese Automobile Standard Organization หรือกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเเป็นกลุ่มที่มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน ต่อมาเรียกรวมเป็นมาตรฐาน ISO โดยเเบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
เครื่องยนต์เบนซิน
JSE (ISO-L-EJGE) เทียบพอๆ กับมาตรฐาน API SE หรือ CCMC G1 โดยเน้นป้องกันการสึกหรอบริเวณวาล์วเพิ่มขึ้น
JSG (ISO-L-EJDD) เทียบกับมาตรรฐานสูงกว่า API SG หรือ CCMC G4 โดยเน้นป้องกันการสึกหรอบริเวณวาล์วเพิ่มขึ้นไปอีก
เครื่องยนต์ดีเซล
JASO CC (ISO -L-EJDC) โดยกำหนดว่าต้องผ่านการทดสอบโดยเครื่องยนต์นิสสัน SD 22 เป็นเวลา 50 ชั่วโมง เทียบได้กับ API CC เป็นอย่างต่ำ
JASO CD (ISO -L-EJDD) โดยกำหนดว่าต้องผ่านการทดสอบโดยเครื่องยนต์นิสสัน SD 22 เป็นเวลา 100 ชั่วโมง เทียบได้กับ API CD เป็นอย่างต่ำ
มาตรฐานน้ำมันเครื่องแห่งกองทัพสหรัฐ
มาตรฐาน MIL-L-2104 เป็นมาตรฐานของน้ำมันหล่อลื่นที่กำหนดขึ้นสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน มีรายละเอียดดังนี้
MIL-L-2104 A ถูกกำหนดขึ้นเมื่อปี 1954 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีกำมะถันต่ำและเครื่องยนต์เบนซินทั่ว ๆ ไปเปรียบได้กับมาตรฐาน API CA/SB ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว
MIL-L-2104 B กำหนดใช้เมื่อปี 1964 สำหรับน้ำมันหล่อลื่นทีมีสารเพิ่มคุณภาพด้านการป้องกันการเกิดอ๊อกซิเดชั่น และป้องกันสนิม เทียบได้กับมาตรฐาน API CC/SC
MIL-L-2104 C กำหนดใช้เมื่อปี 1970 สำหรับน้ำมันหล่ดลื่นที่ใช้กับเครื่องยนต์ที่มีรอบสูงมาก ๆ และการใช้งานหนัก มีสารป้องกันคราบเขม่า ป้องกันการสึกหรอ และป้องกันสนิม เทียบได้กับมาตรฐาน API CD/SC
MIL-L-2104 D กำหนดใช้เมื่อปี 1983 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน 4 จังหวะ ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานหนัก เทียบได้กับมาตรฐาน API CD/SC
MIL-L-2104 E กำหนดใช้เมื่อปี 1988 เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน 4 จังหวะ รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานหนัก เทียบได้กับมาตรฐาน API CF/SG
มาตรฐาน MIL-L-46152 เริ่มกำหนดใช้เมื่อปี 1970 เป็นมาตรฐานน้ำมันเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน
MIL-L-46152 A เริ่มใช้เมื่อปี 1980 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซินทั่วไป เทียบได้กับมาตรฐาน API SE/CC
MIL-L-46152 B กำหนดใช้เมื่อปี 1981 เป็นการรวมมาตรฐาน MIL-L-2104 B เทียบได้กับมาตรฐาน API SF/CC
MIL-L-46152 C กำหนดใช้เมื่อปี 1987 โดยปรับปรุงจากมาตรฐาน MIL-L-46152 B เพราะมีการเปลียนแปลงวิธีการวัดจุดไหลเทใหม่
MIL-L-46152 D เป็นมาตรฐานที่ปรับปรุงมาจาก MIL-L-46152 C เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทดสอบเครื่องยนต์ และมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดอ๊อกซิเดนชั่นดีขึ้นกว่าเดิม เทียบได้กับมาตรฐาน API SE/CD
MIL-L-46152 E มาตรฐานล่าสุด เทียบได้กับมาตรฐาน API SG/CE
สำหรับมาตรฐานน้ำมันเครื่องที่รู้จัก ก็คือมาตรฐาน " API" และ " SAE" ซึ่งน้ำมันเครื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่มักจะแจ้งมาคู่กันบางยี่ห้อจะบอกค่า ดัชนีความหนืดของ "SAE" อย่างเช่น 5W-30, 15W-40 เป็นต้นและจะมีค่ามาตรฐานที่บอกสมรรถนะของน้ำมันเครื่องกระป๋องนั้นเป็น มาตรฐาน "API" เช่น SE, SF, SG, CC, CD, CE เป็นต้น
ดังนั้นการเลือกใช้น้ำมันเครื่องก็ไม่ควรฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ เลือกใช้ให้เหมาะกับรถก็พอ แต่ควรจะเลือกใช้ค่าความหนืดให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและอาศัยการเปลี่ยนถ่าย ที่เหมาะสมแก่เวลา ส่วนการเลือกใช้น้ำมันสังเคราะห์นั้น มันก็ดีที่ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ได้อีกทางแต่มันไม่ค่อยเหมาะสมกับรถที่ใช้ งานธรรมดาจะเหมาะกับพวกชอบใช้รอบเครื่องยนต์สูง ๆ ขับซิ่ง ๆยิ่งในเศรษฐกิจแบบนี้ต้องไม่จ่ายแพงกว่า และการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง ควรที่จะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องควรคู่กันไปด้วย
เตรียมตัว ก่อนรถคุณจะเสีย
หลายคนคงมีคำถามนี้เกิดขึ้นในใจว่า “ถ้าหากรถเราเกิดเสียหรือมีปัญหาขึ้นมาระหว่างเดินทาง แล้วเราจะทำยังไง กันดี” เพราะใช่ว่าคนที่ขับรถยนต์ได้ทุกคนจะสามารถรู้เรื่องรถยนต์ทุกคนเมื่อไหร่ น้อยคนนักที่ขับรถได้และสามารถแก้ไข ปัญหาเกี่ยวกับรถยนต์ได้ นับเป็นเปอร์เซ็นต์จะมีถึง 10% หรือเปล่ายังไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ คนที่ว่าขับรถและซ่อมรถเป็นในเวลา เดียวกันนั้นคงเป็น “ผู้ชาย” เสียมากกว่า
ต้้องรู้จักรถที่ขับก่อน
ก่อนจะแก้ไขรถที่เกิดปัญหาได้ ก่อนอื่นคุณต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณรู้จักรถที่คุณขับอยู่หรือไม่ คำว่ารู้จักนี้ไม่ใช่แค่รู้ เพียงว่ารถที่ขับอยู่เป็นรถเก๋งหรือรถกระบะ ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซลเท่านั้น แต่ควรจะรู้ด้วยว่ารถที่ขับอยู่นั้นยี่ห้ออะไร รุ่น อะไร ปีที่ผลิตคือปีอะไร ซึ่งปีที่ผลิตนี้เขาจะใช้ปีสากลคือ ปีค.ศ.กัน เช่น ปี 2000 ก็หมายถึง เป็นรถที่ผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 2000 ก็เท่ากับ พ.ศ.2543 แบบนี้เป็นต้น นอกจากควรจะรู้ยี่ห้อ รุ่นและปีที่ผลิตรถคันที่ขับ สิ่งที่ไม่น่าลืมอีกอย่างหนึ่งก็คือ หมายเลขทะเบียนและสีของรถหรือจุดเด่นต่าง ๆ บนตัวรถที่เราขับ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้การช่วยเหลือของเหล่า “ผู้มีน้ำใจ” ทั้งหลาย หารถของคุณได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
เบอร์โทร.ต่าง ๆ ควรมีไว้
เมื่อจำเป็นสิ่งที่ต่าง ๆ ที่ว่าไว้ข้างต้นได้แล้ว สิ่งที่ควรมีติดรถหรือเมมโมรี่ไว้ในโทรศัพท์มือถือ เบอร์โทร.ของผู้มีน้ำใจ ช่วยเหลือสังคมทั้งหลายแหล่ เช่น จส.100 สวพ.91 และร่วมด้วยช่วยกัน เป็นต้น แต่เบอร์ที่ควรจะจำได้ง่ายสุด ๆน่าจะเป็น เบอร์ 191 ของหน่วยงานตำรวจไทย โทร.แจ้งได้ทุกเรื่อง ยกเว้นยืมสตางค์ อีกเบอร์ที่ไม่น่าลืมก็คือ 1133 สอบถามเบอร์ โทร.ทั่วประเทศ ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ที่ว่านี้ จะเป็นการโทร.ฟรีส่วนใหญ่ แต่ก็มีอีกเบอร์ที่ช่วยได้ทุกเรื่องเหมือนกันแต่ต้อง เสียสตางค์เพิ่มนิดหน่อย ก็ BUG ไง
รถเสียต้องมีสติ
สิ่งแรกที่ควรจะต้องทำเวลารถเสียหรือมีปัญหา และต้องทำให้ได้ด้วยคือ “การมีสติ” เริ่มตั้งแต่การควบคุมรถที่มีปัญหา เข้าข้างทาง เปิดไฟฉุกเฉินหากทำได้ตั้งสติอีกครั้ง รวบรวมลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลังว่าก่อนจะมีปัญหามีอาการเป็นอย่าง ไร จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือโทร.เบอร์คนที่จะพอช่วยเหลือได้ เช่น ถ้ามีแฟนก็โทร.หาแฟน แต่ถ้าคิดว่าแฟนคงช่วยอะ ไรไม่ได้นัก ก็โทร.หาคนอื่น เช่น ใครที่รู้จักและพอมีความรู้ทางด้านรถยนต์ แต่ถ้าไม่มีใครในความคิด ก็โทร.ไปเบอร์ ต่าง ๆ ที่บอกไว้
จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ให้ผู้ที่จะมาช่วยเหลือฟังว่ารถเป็นอะไร มีอาการอะไรก่อนจะเสีย ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย กับเรา ก็อย่าลืมบอกเขาด้วยว่ารถเรายี่ห้ออะไร รุ่นอะไร เกียร์ออโต้หรือเกียร์ธรรมดา เครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล ทั้งนี้ เพื่อให้คนที่จะมาช่วยเหลือมีข้อมูล และตระเตรียมอะไหล่หรือเครื่องมือพิเศษอื่น ๆ มาด้วย จะได้ไม่เสียเวลา
เครื่องมือช่าง ยางอะไหล่ต้องมีติดรถไว้
แม้เราจะไม่ได้เป็นช่าง และซ่อมรถไม่เป็นสักอย่าง แต่ควรมีเครื่องมือช่างที่จำ เป็น อย่างเช่น ไขควง คีมปากขยาย ประ แจปากตาย ฯลฯ ติดท้ายรถเสมอซึ่ง เครื่องมือ ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี้ปรกติเขาจะมีติดรถมาให้แล้วเว้นแต่เป็นรถมือ สองหรือมือสามบางคัน ที่เจ้าของเก่าไม่ยอมให้มากับรถขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้นะ นอกจากจะมีเครื่องมือช่างแล้วควรต้องมีสาย พ่วงแบตเตอรี่ไว้สัก 1 ชุด ยางอะไหล่และประแจถอดนอตล้ออีก 1 ชุด และบาง ท่าน ที่ล้อเป็นล้อแม็กที่มีฝาครอบแบบพิเศษ ก็ต้องมีเครื่องมือพิเศษสำหรับถอด ฝาครอบนอตล้อด้วยนะ เพราะถ้าไม่มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์พิเศษที่ว่าเวลายาง แบน จะเปลี่ยนเอายางอะไหล่ใส่แทน ก็จบเหมือนกันนะงานนี้ บางคนอาจจะถาม ว่ามีเครื่องมือช่างติดรถไว้ทำไมก็เราซ่อมรถไม่เป็นนี่นาก็ไม่ได้ให้เราใช้ สักหน่อย เครื่องมือนี่ เพียงแต่ให้คนที่เขามาช่วย ซึ่งเราพอซ่อมรถได้เอามาใช้ซ่อมรถเรา นั่นเอง สายพ่วงแบตเตอรี่ก็ไว้ใช้พ่วงแบตฯ กับรถคนอื่น เวลาเกิดแบตเตอรี่ไฟอ่อน หรือไฟไม่ชาร์จและยางอะไหล่ที่เก็บ ไว้ท้ายรถก็ควรจะเช็กลมยางให้เต็มอยู่เสมอเช็กสักเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ก็้ได้ เติมเกินเผื่อ ๆ ไว้สักหน่อยก็จะดีไม่น้อย
ก่อนจะให้เสีย หมั่นดูแลไว้ก่อนดีกว่าไหม
นี่แหละ อยากจะแนะนำให้เจ้าของรถและคนขับรถทุก ๆ คนทำ คือ ควรจะดูแลรักษารถให้ดีก่อนที่รถของเราจะไปเสีย กลางทาง น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เช่น ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เกียร์ เฟืองท้าย ตามระยะทางที่กำหนด นำรถเข้าตรวจ เช็กตามศูนย์บริการในช่วงเวลาหรือระยะทางที่กำหนด หากเราทำถูกต้องนำรถเข้าเช็ก เปลี่ยนอะไหล่ตามอายุการใช้งาน ก็แล้ว รถยังเสียกลางทางอีก ก็ถือเป็นเหตุสุดวิสัยแล้วล่ะ ไม่ต้องคิดมาก
ต้้องรู้จักรถที่ขับก่อน
ก่อนจะแก้ไขรถที่เกิดปัญหาได้ ก่อนอื่นคุณต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณรู้จักรถที่คุณขับอยู่หรือไม่ คำว่ารู้จักนี้ไม่ใช่แค่รู้ เพียงว่ารถที่ขับอยู่เป็นรถเก๋งหรือรถกระบะ ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซลเท่านั้น แต่ควรจะรู้ด้วยว่ารถที่ขับอยู่นั้นยี่ห้ออะไร รุ่น อะไร ปีที่ผลิตคือปีอะไร ซึ่งปีที่ผลิตนี้เขาจะใช้ปีสากลคือ ปีค.ศ.กัน เช่น ปี 2000 ก็หมายถึง เป็นรถที่ผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 2000 ก็เท่ากับ พ.ศ.2543 แบบนี้เป็นต้น นอกจากควรจะรู้ยี่ห้อ รุ่นและปีที่ผลิตรถคันที่ขับ สิ่งที่ไม่น่าลืมอีกอย่างหนึ่งก็คือ หมายเลขทะเบียนและสีของรถหรือจุดเด่นต่าง ๆ บนตัวรถที่เราขับ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้การช่วยเหลือของเหล่า “ผู้มีน้ำใจ” ทั้งหลาย หารถของคุณได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
เบอร์โทร.ต่าง ๆ ควรมีไว้
เมื่อจำเป็นสิ่งที่ต่าง ๆ ที่ว่าไว้ข้างต้นได้แล้ว สิ่งที่ควรมีติดรถหรือเมมโมรี่ไว้ในโทรศัพท์มือถือ เบอร์โทร.ของผู้มีน้ำใจ ช่วยเหลือสังคมทั้งหลายแหล่ เช่น จส.100 สวพ.91 และร่วมด้วยช่วยกัน เป็นต้น แต่เบอร์ที่ควรจะจำได้ง่ายสุด ๆน่าจะเป็น เบอร์ 191 ของหน่วยงานตำรวจไทย โทร.แจ้งได้ทุกเรื่อง ยกเว้นยืมสตางค์ อีกเบอร์ที่ไม่น่าลืมก็คือ 1133 สอบถามเบอร์ โทร.ทั่วประเทศ ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ที่ว่านี้ จะเป็นการโทร.ฟรีส่วนใหญ่ แต่ก็มีอีกเบอร์ที่ช่วยได้ทุกเรื่องเหมือนกันแต่ต้อง เสียสตางค์เพิ่มนิดหน่อย ก็ BUG ไง
รถเสียต้องมีสติ
สิ่งแรกที่ควรจะต้องทำเวลารถเสียหรือมีปัญหา และต้องทำให้ได้ด้วยคือ “การมีสติ” เริ่มตั้งแต่การควบคุมรถที่มีปัญหา เข้าข้างทาง เปิดไฟฉุกเฉินหากทำได้ตั้งสติอีกครั้ง รวบรวมลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลังว่าก่อนจะมีปัญหามีอาการเป็นอย่าง ไร จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือโทร.เบอร์คนที่จะพอช่วยเหลือได้ เช่น ถ้ามีแฟนก็โทร.หาแฟน แต่ถ้าคิดว่าแฟนคงช่วยอะ ไรไม่ได้นัก ก็โทร.หาคนอื่น เช่น ใครที่รู้จักและพอมีความรู้ทางด้านรถยนต์ แต่ถ้าไม่มีใครในความคิด ก็โทร.ไปเบอร์ ต่าง ๆ ที่บอกไว้
จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ให้ผู้ที่จะมาช่วยเหลือฟังว่ารถเป็นอะไร มีอาการอะไรก่อนจะเสีย ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย กับเรา ก็อย่าลืมบอกเขาด้วยว่ารถเรายี่ห้ออะไร รุ่นอะไร เกียร์ออโต้หรือเกียร์ธรรมดา เครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล ทั้งนี้ เพื่อให้คนที่จะมาช่วยเหลือมีข้อมูล และตระเตรียมอะไหล่หรือเครื่องมือพิเศษอื่น ๆ มาด้วย จะได้ไม่เสียเวลา
เครื่องมือช่าง ยางอะไหล่ต้องมีติดรถไว้
แม้เราจะไม่ได้เป็นช่าง และซ่อมรถไม่เป็นสักอย่าง แต่ควรมีเครื่องมือช่างที่จำ เป็น อย่างเช่น ไขควง คีมปากขยาย ประ แจปากตาย ฯลฯ ติดท้ายรถเสมอซึ่ง เครื่องมือ ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี้ปรกติเขาจะมีติดรถมาให้แล้วเว้นแต่เป็นรถมือ สองหรือมือสามบางคัน ที่เจ้าของเก่าไม่ยอมให้มากับรถขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้นะ นอกจากจะมีเครื่องมือช่างแล้วควรต้องมีสาย พ่วงแบตเตอรี่ไว้สัก 1 ชุด ยางอะไหล่และประแจถอดนอตล้ออีก 1 ชุด และบาง ท่าน ที่ล้อเป็นล้อแม็กที่มีฝาครอบแบบพิเศษ ก็ต้องมีเครื่องมือพิเศษสำหรับถอด ฝาครอบนอตล้อด้วยนะ เพราะถ้าไม่มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์พิเศษที่ว่าเวลายาง แบน จะเปลี่ยนเอายางอะไหล่ใส่แทน ก็จบเหมือนกันนะงานนี้ บางคนอาจจะถาม ว่ามีเครื่องมือช่างติดรถไว้ทำไมก็เราซ่อมรถไม่เป็นนี่นาก็ไม่ได้ให้เราใช้ สักหน่อย เครื่องมือนี่ เพียงแต่ให้คนที่เขามาช่วย ซึ่งเราพอซ่อมรถได้เอามาใช้ซ่อมรถเรา นั่นเอง สายพ่วงแบตเตอรี่ก็ไว้ใช้พ่วงแบตฯ กับรถคนอื่น เวลาเกิดแบตเตอรี่ไฟอ่อน หรือไฟไม่ชาร์จและยางอะไหล่ที่เก็บ ไว้ท้ายรถก็ควรจะเช็กลมยางให้เต็มอยู่เสมอเช็กสักเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ก็้ได้ เติมเกินเผื่อ ๆ ไว้สักหน่อยก็จะดีไม่น้อย
ก่อนจะให้เสีย หมั่นดูแลไว้ก่อนดีกว่าไหม
นี่แหละ อยากจะแนะนำให้เจ้าของรถและคนขับรถทุก ๆ คนทำ คือ ควรจะดูแลรักษารถให้ดีก่อนที่รถของเราจะไปเสีย กลางทาง น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เช่น ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เกียร์ เฟืองท้าย ตามระยะทางที่กำหนด นำรถเข้าตรวจ เช็กตามศูนย์บริการในช่วงเวลาหรือระยะทางที่กำหนด หากเราทำถูกต้องนำรถเข้าเช็ก เปลี่ยนอะไหล่ตามอายุการใช้งาน ก็แล้ว รถยังเสียกลางทางอีก ก็ถือเป็นเหตุสุดวิสัยแล้วล่ะ ไม่ต้องคิดมาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)