วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ไม่ต้องรักรถมาก

คนไทยรักรถมากด้วยหลายเหตุผล ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะรถในไทยมีราคาแพงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ และนับเป็นทรัพย์สินมีค่า สามารถขายต่อได้เสมอ แต่ความรักในรถนั้น อย่าให้กลายเป็นความฟุ่มเฟือย หรือถึงขั้นก่ออันตรายแก่ชีวิต

รัก สวย รักงาม รักรถ เคลือบสี ::คนไทยมีความรักสวยรักงามเป็นส่วนหนึ่งของนิสัยพื้นฐานอยู่แล้ว และถ่ายทอดมาถึงรถด้วย หากรถถลอกหรือบุบ มักจะรีบซ่อม รถสกปรกก็ต้องล้างให้สะอาดแวววาว แตกต่างจากหลายประเทศที่ผู้คนใช้รถเป็นพาหนะ บุบบ้างถลอกบ้างก็ใช้ต่อ นานเป็นเดือนกว่าจะล้างสักครั้งไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะดูแลให้รถยนต์สะอาด อยู่เสมอ แต่ก็ควรจ่ายเงินเท่าที่จำเป็น สถานที่บริการล้างรถมีมากมาย  


   ปัจจุบัน นี้มีการตัดราคากัน เช่น 30-40 บาทต่อการล้าง 1 คันก็หาไม่ยาก แต่ก็ยังมีที่ตั้งราคาไว้แพงๆ แล้วอยู่ได้ เพราะหลายคนคิดว่า ถ้าล้างราคาถูก จะขาดการ ดูแลที่ดี สีรถอาจเป็นรอยขนแมวได้ คิดว่าถ้าล้างแพงๆ แล้วจะดีกว่า นับว่ามีส่วนจริงบ้าง แต่ไม่เสมอไป อย่าดูที่ราคา ให้พิจารณาขณะที่ล้างและเช็ดว่าพนักงานทำอย่างไร พบว่าปัจจุบันนี้มีที่รับล้างรถในราคา 30-40 บาท แต่สะอาดเรียบ ร้อยอยู่ไม่น้อย

การเคลือบสี

แม้โรงงานจะพ่นแลกเกอร์ เคลือบมาแล้ว ซึ่งมีทั้งความทนทานและความเงางาม แต่ก็พบว่าถ้ามีการเคลือบด้วยน้ำยาพิเศษ เพิ่มเติม ความเงางามก็จะเพิ่มขึ้น ดูสวยงามขึ้น และน้ำยาเคลือบสีหลายยี่ห้อก็สามารถเพิ่มความทนทานของสีขึ้นอีกเล็กน้อย การเคลือบสี นับเป็นเรื่องของความพึงพอใจส่วนตัว หลายคนยอมเสียเงิน เพราะชื่นชอบในความสวยงามจึงเป็นช่องทางให้ธุรกิจนี้เติบโต ทั้งขายน้ำยาให้ไปเคลือบเอง หรือเหมารวมค่าบริการเคลือบให้พร้อมสรรพ 


   โดย มีการปั่นราคาขึ้นสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น สูงเกินคุณภาพ หรือตั้งราคาตามความสำเร็จในการสร้าง ความเชื่อถือ ไม่ใช่ตามต้นทุนที่แท้จริง บางยี่ห้อ เป็นสินค้านำเข้า ต้องเสียค่าขนส่งและภาษีก็จริง แต่ตั้งราคาไว้แพงกว่าในประเทศผู้ผลิตถึง 3-4 เท่าตัว หากสนใจเคลือบสี ควรเลือกด้วยคุณ-สมบัติที่เหมาะสมกับราคา พิจารณากันให้รอบ คอบ เพราะยี่ห้อที่ราคาแพงกว่า ไม่จำเป็นว่าจะต้องดีกว่าเสมอไป ปั่นราคากันจนแพงสุดกู่ก็มีเพียบ

พ่นกันสนิม

 รถ ยุคใหม่ล้วนมีการชุบสารป้องกันสนิมจากโรงงานมาเป็นอย่างดีแล้ว ทั้งรถยนต์ราคาถูกและแพง ล้วนผ่านขั้นตอนนี้มาแล้วทั้งนั้น รถหลายยี่ห้อประกาศรับ
ประกันการปลอดสนิม 10 ปี (หรือนานกว่านั้นก็พอมี) จากการใช้งานจริงก็พบว่าเป็นไปตามนั้น รถยนต์รุ่นปี 1993 ใช้งาน มาจนถึงในปี 2003 นี้ ก็ยังไม่เห็นตัวถังผุให้เห็น เลย  

หากจะประเมินแบบปลอดภัยไว้ก่อน ตัวเลข 8 ปีสำหรับการปลอดสนิม นับว่าเป็นไปได้แน่ๆ แม้จะไม่ได้พ่นสารกันสนิมเพิ่มเติมก็ไม่มีปัญหา ถ้าอยากจะพ่นสารกันสนิมเพิ่มเติม จึงควร ประเมินว่า จะใช้รถคันนั้นเกิน 8-10 ปีหรือไม่ ถ้าไม่เกิน ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะร้าน รับพ่นสารกันสนิมในปัจจุบันนี้ หลายรายตั้งราคา ตามชื่อเสียง ไม่ใช่คุณภาพที่แท้จริง เช่นเดียวกับการเคลือบสี

รถเกิดอุบัติเหตุ มัวคลำรถ ไม่กลัวโดนซ้ำ
คน ไทยบางคนรักรถมาก อยากให้มีสภาพ ดีสวยงามอยู่ตลอดเวลา บางคนรักยิ่งกว่าคนใกล้ตัวก็ยังมี เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่จึงให้ความ สนใจว่า รถของตนเสียหายมากเพียงไร โดยไม่สนใจว่าขณะนั้นจอดเกะกะการจราจรเพียงใด หรือที่สำคัญ คือ จอดแล้วเสี่ยงต่อการถูกรถคันอื่นมาชนซ้ำหรือไม่ มัวแต่ดู ลูบๆ คลำๆ จุดที่เสียหาย โดยไม่ดูว่า ถ้ามีการชนซ้ำแล้วตนเอง จะถูกอัดก๊อบปี้หรือไม่ !


   ผมเคยเห็นรถชนท้ายกัน หลังจากลงสะพานโค้งสู่ทางราบแถวจตุจักร ก็จอดรถ 2 คันคาอยู่อย่างนั้น โดยคนขับรถคันข้างหน้า ลงมานั่ง ลูบๆ คลำๆ กันชนหลังของรถด้วยความเป็น ห่วง โดยมีช่องว่างเหลือระหว่างรถ2 คันสัก 1 ฟุตได้ รถคันอื่นที่ลงมาจากสะพานก็ต้องเบรกหรือแหวกออกไป ผมคิดต่อไปเลยว่า ถ้ารถคันอื่นมาชนซ้ำ เพราะความกระชั้นชิด (ลงสะพานมาแล้วเจอเลย) รถที่จอดอยู่ข้างหลัง ถูกชนกระเด็นขึ้นมาข้างหน้า ก็คงอัดก๊อบปี้ตรงศรีษะของเจ้าของรถคันหน้า ที่กำลังลูบๆ คลำๆ อยู่ และก็คงตายเพราะความ รักรถนั่นเอง


เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากยืนยันจะจอดอยู่บนการจราจร เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่มา หรือ กลัวประกันภัยจะไม่จ่าย (ส่วนจะทำให้การจราจร ติดขับเพิ่มขึ้นก็ไม่สน!) ควรให้ความระมัดระวัง กับการถูกชนซ้ำ ทำให้รถเสียหายเพิ่ม และคนโดนชนซ้ำไปด้วย บางคนยอมจอดคาไว้ เพราะเหตุผลข้างต้น แต่โดนชนซ้ำ ประกันจ่าย แต่รถเละจนช้ำ หรือถูกรถคันอื่นชนซ้ำ จนคนเจ็บหรือตาย เพราะมัวแต่ดูสภาพรถหรือเถียงกันอยู่ รถซ่อมได้ เปลี่ยนมือได้ ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่คนตายแล้วไม่ฟื้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Sample text

Sample Text

 
Blogger Templates