อากาศในบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เช่น ฤดูฝนเป็นช่วงที่อากาศมีความชื้นสูง และในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนจะมีฝุ่นละอองมากมายในอากาศ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นฤดูร้อนมากกว่าฤดูอื่น
ในกรุงเทพฯ มักจะประสบปัญหาการจราจรติดขัดในตอนเช้าเสมอ และในตอนบ่ายอากาศจะมีความร้อน จึงทำให้เครื่องยนต์เกิดปัญหาเรื่องความร้อนอย่างมากมาย เพราะอากาศที่ออกจากท่อไอเสียของรถคันหนึ่ง และจากรถอีกหลาย ๆ คันจะไหลอยู่บริเวณนั้น หากรถติดไฟแดงนาน ๆ จะทำให้รถเกิดโอเวอร์ฮีท หรือเครื่องยนต์ดับได้ ซึ่งปัญหาตรงนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียเกี่ยวกับเครื่องยนต์อย่างมากและ อุณหภูมิบริเวณห้องเครื่องอาจสูงเกือบ 100 องศานั่นก็หมายถึงอุปกรณ์รอบ ๆ นอกของเครื่องยนต์ เช่น ท่อยาง กระจกไฟฟ้า และสายไฟต่าง ๆ เกิดปัญหาตามไปด้วย
ถ้าเน้นกันจริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องของการจัดเตรียม และการดูแลอุปกรณ์ปลีกย่อย ผมคิดว่าคงต้องมีการดูแลในส่วนปลีกย่อยของแต่ละอัน อย่างเช่นในส่วนของหม้อน้ำว่าหน้าที่ของหม้อน้ำคืออะไร รถบางรุ่นอาจมีถึง 2 หม้อน้ำ และในการดูแลเรื่องของความร้อนโดยรวม ๆ ว่า เราดูอะไรบ้าง
ในประการแรกเลย เราต้องจับจุดและสังเกตดูที่หน้าปัด คือ ดูเกจวัดความร้อนเสียก่อนว่าความร้อนโดยเฉลี่ยจากการใช้รถในรายวันของเรา และเราต้องใช้รถไปนานเท่าใดจึงจะเข้าสู่ภาวะปรกติ ขณะที่รถติดไฟแดงนาน ๆ เคลื่อนที่ไม่ได้ ความร้อนอยู่ระดับไหน อาจจะอยู่ครึ่งกลาง หรือเลยตรงกลางเล็กน้อย เราต้องจำตรงนี้ให้แม่นยำครับ ในกรณีที่วันหนึ่งวันใด มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงเราจะได้รู้ได้ จากที่มีความรู้ในการดูแลเกจความร้อนแล้วคราวนี้เราก็มาดูอุปกรณ์โดยรวม ๆ ในห้องเครื่องยนต์
อันดับแรกเลยคือ หม้อน้ำ ในการสำรวจหม้อน้ำเราต้องดูฝาหม้อน้ำ ยางบริเวณที่สตรีมไว้ระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง ซึ่งฝาหม้อน้ำมักจะมี 2 ชั้นเสมอ เราต้องดูว่ายางเหล่านั้นเปื่อยยุ่ยหรือไม่ ถ้าเกิดการเปื่อยยุ่ยเมื่อใด วาล์วน้ำอันละไม่กี่บาท อย่างธรรมดาก็ราว ๆ 100 กว่าบาท ควรจะเปลี่ยนวาล์วหม้อน้ำใหม่ เมื่อเปิดฝาหม้อน้ำดูให้สังเกตความขุ่นของน้ำในหม้อน้ำเสียก่อน ถ้าขุ่นข้นเราก็ควรถ่ายน้ำทิ้ง แล้วก็เติมน้ำที่ป้องกันสนิมใส่เข้าไปใหม่ ในกรณีที่หาน้ำกันสนิมก็ควรถามอู่หรือร้านขายว่าเป็นชนิดที่ป้องกันสนิม หรือชนิดที่ชำระล้าง ก็ควรใช้ชนิดที่ป้องกันสนิมจะดีกว่า จากที่เราดูฝาหม้อน้ำและก็มาดูหม้อน้ำโดยรวม ๆ ดูว่าบริเวณรังผึ้งมีการเปื่อยยุ่ยหรือถ้าน้ำในหม้อน้ำเกิดการรั่วซึมและ บริเวณหม้อน้ำมีการปริแตกด้วยหรือเปล่า
ต่อมาก็คือท่อยาง ท่อยางหม้อน้ำจะมีท่อยางบนและล่าง ส่วนบนอาจเป็นท่อใหญ่ หรือท่อเล็กก็ได้ ท่อยางควรจะมีความหนืดเหนียว ไม่ใช่บวม เปื่อยยุ่ย หรือนุ่มนิ่ม จากการสัมผัสดูก็รู้ว่าท่อยางที่ใช้อยู่นั้นมีคุณภาพดีหรือไม่ อาจไม่ใช่แค่ท่อยางหม้อน้ำบนหรือล่าง แต่ต้องดูท่อยางทุก ๆ ท่อที่ส่งไปยังเครื่องยนต์ที่เราสามารถดูได้ด้วยตาเปล่า ดูว่ามียางตัวไหนไม่แน่นหรือกำลังจะเปื่อย แม้กระทั่งท่อยางที่ต่อไปในมิเตอร์บางรุ่นก็ควรที่จะตรวจสอบในเรื่องของท่อ นั้น ถ้าหากสงสัยหรือเห็นท่อยางตัวใดตัวหนึ่งเปื่อยยุ่ยจะต้องถือว่าเป็นของชำรุด ไม่ต้องรอให้หมดอายุก่อน ก็ควรรีบเปลี่ยน
จากอุปกรณ์ท่อน้ำที่เราดูโดยรวม ๆ เท่าที่จะสามารถดูได้ หาได้ก็คือ ท่อพักน้ำ กระเปาะพักน้ำ หรือหม้อน้ำพักน้ำอะไรก็แล้วแต่ที่มีอยู่ในตัวรถ ไม่ว่ารถรุ่นไหนก็ตามที่มีหม้อน้ำพักน้ำก็ต้องตรวจหม้อน้ำว่าสามารถเก็บกัก น้ำได้หรือไม่ ท่อมีการบวมแป่ง หรือเปื่อยยุ่ยหรือไม่
ถัดไปเป็นเรื่องของปลั๊กไฟต่าง ๆ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความร้อนก็คือ ปลั๊กไฟที่เป็นพัดลม หรือจะเป็นตัวพัดลมก็ตาม ในปลั๊กไฟต่าง ๆ ให้ดูขั้วสาย ดูรอยรั่ว รอยเปื่อยของสายไฟต่าง ๆ ต้องตรวจสอบให้ละเอียด จากนั้นก็ทดลองเอามือไปจับตามปลั๊กไฟต่าง ๆ ในขณะที่เราสับสวิตซ์แล้วนะครับ จับดูว่าใบพัดมีการคลอน การเขย่าตัว บูสต์ของมอเตอร์มีการหลวมตัวด้วยหรือเปล่า เพราะพัดลมไฟฟ้าจะทำงานขณะเครื่องยนต์มีความร้อน แล้วก็ต้องทำงานต่อเนื่องด้วย ต้องประเมินสถานการณ์พัดลมไฟฟ้าที่ใช้อยู่ด้านหน้า ไม่ว่าพัดลมแอร์หรือพัดลมหม้อน้ำก็ตามโอกาสที่พัดลมไฟฟ้าเกิดความเสียหาย นั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ขอบอกว่าพัดลมถ้าเสียแล้วลมไม่ไหลผ่าน ถ้าเผลอไม่ดูเกจหน้าปัด ความร้อนโอเวอร์ฮีทขึ้นมา พอดูอีกทีก็ขึ้นมาจนถึงขีดแดงแล้ว เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างใหญ่หลวง
ในกรุงเทพฯ มักจะประสบปัญหาการจราจรติดขัดในตอนเช้าเสมอ และในตอนบ่ายอากาศจะมีความร้อน จึงทำให้เครื่องยนต์เกิดปัญหาเรื่องความร้อนอย่างมากมาย เพราะอากาศที่ออกจากท่อไอเสียของรถคันหนึ่ง และจากรถอีกหลาย ๆ คันจะไหลอยู่บริเวณนั้น หากรถติดไฟแดงนาน ๆ จะทำให้รถเกิดโอเวอร์ฮีท หรือเครื่องยนต์ดับได้ ซึ่งปัญหาตรงนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียเกี่ยวกับเครื่องยนต์อย่างมากและ อุณหภูมิบริเวณห้องเครื่องอาจสูงเกือบ 100 องศานั่นก็หมายถึงอุปกรณ์รอบ ๆ นอกของเครื่องยนต์ เช่น ท่อยาง กระจกไฟฟ้า และสายไฟต่าง ๆ เกิดปัญหาตามไปด้วย
ถ้าเน้นกันจริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องของการจัดเตรียม และการดูแลอุปกรณ์ปลีกย่อย ผมคิดว่าคงต้องมีการดูแลในส่วนปลีกย่อยของแต่ละอัน อย่างเช่นในส่วนของหม้อน้ำว่าหน้าที่ของหม้อน้ำคืออะไร รถบางรุ่นอาจมีถึง 2 หม้อน้ำ และในการดูแลเรื่องของความร้อนโดยรวม ๆ ว่า เราดูอะไรบ้าง
ในประการแรกเลย เราต้องจับจุดและสังเกตดูที่หน้าปัด คือ ดูเกจวัดความร้อนเสียก่อนว่าความร้อนโดยเฉลี่ยจากการใช้รถในรายวันของเรา และเราต้องใช้รถไปนานเท่าใดจึงจะเข้าสู่ภาวะปรกติ ขณะที่รถติดไฟแดงนาน ๆ เคลื่อนที่ไม่ได้ ความร้อนอยู่ระดับไหน อาจจะอยู่ครึ่งกลาง หรือเลยตรงกลางเล็กน้อย เราต้องจำตรงนี้ให้แม่นยำครับ ในกรณีที่วันหนึ่งวันใด มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงเราจะได้รู้ได้ จากที่มีความรู้ในการดูแลเกจความร้อนแล้วคราวนี้เราก็มาดูอุปกรณ์โดยรวม ๆ ในห้องเครื่องยนต์
อันดับแรกเลยคือ หม้อน้ำ ในการสำรวจหม้อน้ำเราต้องดูฝาหม้อน้ำ ยางบริเวณที่สตรีมไว้ระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง ซึ่งฝาหม้อน้ำมักจะมี 2 ชั้นเสมอ เราต้องดูว่ายางเหล่านั้นเปื่อยยุ่ยหรือไม่ ถ้าเกิดการเปื่อยยุ่ยเมื่อใด วาล์วน้ำอันละไม่กี่บาท อย่างธรรมดาก็ราว ๆ 100 กว่าบาท ควรจะเปลี่ยนวาล์วหม้อน้ำใหม่ เมื่อเปิดฝาหม้อน้ำดูให้สังเกตความขุ่นของน้ำในหม้อน้ำเสียก่อน ถ้าขุ่นข้นเราก็ควรถ่ายน้ำทิ้ง แล้วก็เติมน้ำที่ป้องกันสนิมใส่เข้าไปใหม่ ในกรณีที่หาน้ำกันสนิมก็ควรถามอู่หรือร้านขายว่าเป็นชนิดที่ป้องกันสนิม หรือชนิดที่ชำระล้าง ก็ควรใช้ชนิดที่ป้องกันสนิมจะดีกว่า จากที่เราดูฝาหม้อน้ำและก็มาดูหม้อน้ำโดยรวม ๆ ดูว่าบริเวณรังผึ้งมีการเปื่อยยุ่ยหรือถ้าน้ำในหม้อน้ำเกิดการรั่วซึมและ บริเวณหม้อน้ำมีการปริแตกด้วยหรือเปล่า
ต่อมาก็คือท่อยาง ท่อยางหม้อน้ำจะมีท่อยางบนและล่าง ส่วนบนอาจเป็นท่อใหญ่ หรือท่อเล็กก็ได้ ท่อยางควรจะมีความหนืดเหนียว ไม่ใช่บวม เปื่อยยุ่ย หรือนุ่มนิ่ม จากการสัมผัสดูก็รู้ว่าท่อยางที่ใช้อยู่นั้นมีคุณภาพดีหรือไม่ อาจไม่ใช่แค่ท่อยางหม้อน้ำบนหรือล่าง แต่ต้องดูท่อยางทุก ๆ ท่อที่ส่งไปยังเครื่องยนต์ที่เราสามารถดูได้ด้วยตาเปล่า ดูว่ามียางตัวไหนไม่แน่นหรือกำลังจะเปื่อย แม้กระทั่งท่อยางที่ต่อไปในมิเตอร์บางรุ่นก็ควรที่จะตรวจสอบในเรื่องของท่อ นั้น ถ้าหากสงสัยหรือเห็นท่อยางตัวใดตัวหนึ่งเปื่อยยุ่ยจะต้องถือว่าเป็นของชำรุด ไม่ต้องรอให้หมดอายุก่อน ก็ควรรีบเปลี่ยน
จากอุปกรณ์ท่อน้ำที่เราดูโดยรวม ๆ เท่าที่จะสามารถดูได้ หาได้ก็คือ ท่อพักน้ำ กระเปาะพักน้ำ หรือหม้อน้ำพักน้ำอะไรก็แล้วแต่ที่มีอยู่ในตัวรถ ไม่ว่ารถรุ่นไหนก็ตามที่มีหม้อน้ำพักน้ำก็ต้องตรวจหม้อน้ำว่าสามารถเก็บกัก น้ำได้หรือไม่ ท่อมีการบวมแป่ง หรือเปื่อยยุ่ยหรือไม่
ถัดไปเป็นเรื่องของปลั๊กไฟต่าง ๆ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความร้อนก็คือ ปลั๊กไฟที่เป็นพัดลม หรือจะเป็นตัวพัดลมก็ตาม ในปลั๊กไฟต่าง ๆ ให้ดูขั้วสาย ดูรอยรั่ว รอยเปื่อยของสายไฟต่าง ๆ ต้องตรวจสอบให้ละเอียด จากนั้นก็ทดลองเอามือไปจับตามปลั๊กไฟต่าง ๆ ในขณะที่เราสับสวิตซ์แล้วนะครับ จับดูว่าใบพัดมีการคลอน การเขย่าตัว บูสต์ของมอเตอร์มีการหลวมตัวด้วยหรือเปล่า เพราะพัดลมไฟฟ้าจะทำงานขณะเครื่องยนต์มีความร้อน แล้วก็ต้องทำงานต่อเนื่องด้วย ต้องประเมินสถานการณ์พัดลมไฟฟ้าที่ใช้อยู่ด้านหน้า ไม่ว่าพัดลมแอร์หรือพัดลมหม้อน้ำก็ตามโอกาสที่พัดลมไฟฟ้าเกิดความเสียหาย นั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ขอบอกว่าพัดลมถ้าเสียแล้วลมไม่ไหลผ่าน ถ้าเผลอไม่ดูเกจหน้าปัด ความร้อนโอเวอร์ฮีทขึ้นมา พอดูอีกทีก็ขึ้นมาจนถึงขีดแดงแล้ว เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างใหญ่หลวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น